คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3241/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของบุคคลอื่นล้อมอยู่ ทางออกสู่ทางสาธารณะอีก 3 ทาง มีลักษณะคดเคี้ยว ระยะทางไกลกว่าทางพิพาทต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นหลายแปลง และต้องผ่านที่นามีน้ำเจิ่ง เต็มทางพิพาทมีความเหมาะสมกว่า ทั้งยังความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุด โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้ ป.พ.พ. มาตรา 1349 มิได้บังคับว่าผู้ร้องขอใช้ทางจำเป็นต่อศาลจะต้องเสนอขอจ่ายค่าทดแทนความเสียหายให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มาพร้อมกับคำขอด้วย เพียงแต่ระบุให้ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนเท่านั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ขอจ่ายค่าทดแทนมาในฟ้องแต่โจทก์ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะจ่าย จำเลยยังคงมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าทดแทนดังกล่าวจากโจทก์ได้อยู่ จึงไม่เป็นเหตุที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทเพื่อใช้เป็นทางจำเป็นโดยจำเลยเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่าย และให้จำเลยไปจดทะเบียนทางจำเป็นกว้าง 1.30 เมตร ยาวประมาณ 155 เมตร โดยให้ที่ดินโจทก์เป็นสามยทรัพย์ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินของบุคคลอื่นได้ โจทก์ฟ้องโดยไม่ได้เสนอชดใช้ค่าทดแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในทางพิพาทกว้าง0.80 เมตร ยาวประมาณ 155 เมตร และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นโดยค่าใช้จ่ายของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินของโจทก์ทั้ง2 แปลง ถูกที่ดินของบุคคลอื่นล้อมอยู่ จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะโดยมีที่ดินของจำเลยล้อมอยู่ทางด้านทิศใต้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่าโจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า นอกจากทางพิพาทแล้วโจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้อีก 3 ทาง จึงไม่มีสิทธิใช้ทางพิพาทนั้น เห็นว่าทางออกจากที่ดินโจทก์ทั้ง 3 ทาง ตามฎีกาจำเลย คือทางด้านทิศเหนือตามแนวเส้นสีน้ำเงิน ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและด้านทิศตะวันตกตามแนวเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ล.1สภาพของทางตามแผนที่ดังกล่าว มีลักษณะคดเคี้ยวมีระยะทางไกลกว่าทางพิพาท ทั้งต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นหลายแปลง นอกจากนี้ยังปรากฏจากที่ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่พิพาทตามรายงานกระบวนพิจารณา วันที่ 7 ธันวาคม 2526 ว่าทางที่จำเลยอ้างทั้ง 3 ทางต้องผ่านที่นามีน้ำเจิ่งเต็มไปหมด เมื่อเทียบกับทางพิพาทซึ่งเป็นเส้นทางที่โจทก์เคยใช้เดินมาก่อน และมีระยะทางสั้นที่สุดแล้วจะเห็นได้ว่า ทางพิพาทมีความเหมาะสมกว่าทั้งยังความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุดด้วย โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าทางพิพาทมีต้นไม้ยืนต้นปลูกอยู่ หากใช้เป็นทางจำเป็นแล้วจำเลยจะต้องเสียหายมากนั้น เห็นว่าทางพิพาทนี้ โจทก์เคยใช้เดินมาก่อน ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้มีความกว้างเพียง 80 เซนติเมตรจำเลยจึงคงเสียหายไม่มากนั้น และหากจำเลยต้องเสียหายไปเท่าใดก็มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนในส่วนนี้จากโจทก์ได้อยู่แล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์จะต้องเสนอขอชดใช้ค่าทดแทนมาด้วยหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349วรรคท้ายบัญญัติว่า ผู้มีสิทธิที่จะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่าน โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสนอชดใช้ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายเมื่อฟ้องโจทก์ไม่ได้ว่าไว้ จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าตามบทกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับว่าผู้ร้องขอใช้ทางจำเป็นต่อศาลจะต้องเสนอขอจ่ายค่าทดแทนความเสียหายให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มาพร้อมกับคำขอด้วย เพียงแต่ระบุให้ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนเท่านั้น คดีนี้แม้โจทก์จะไม่ได้ขอจ่ายค่าทดแทนมาในฟ้องแต่โจทก์ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะจ่ายจำเลยยังคงมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าทดแทนดังกล่าวจากโจทก์ได้อยู่ จึงไม่เป็นเหตุที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน.

Share