คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3220/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สุและส. เป็นข้าราชการรับแจ้งและจดข้อความอันเป็นเท็จจากจำเลยในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของคุรุสภา สุและส. จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา137,267 การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267,83, 91, 92, 32, 33 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 และเพิ่มโทษจำเลยด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา137, 267, 268 จำเลยกระทำผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จเป็นความผิดกรรมเดียวให้ลงโทษตามมาตรา 267 ซึ่งเป็นบทหนัก แต่เนื่องจากจำเลยกระทำผิด 3 กระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปีเป็นจำคุก 2 ปีสำหรับความผิดฐานใช้เอกสารเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงโทษตามมาตรา 268จำคุก 1 ปีรวมจำคุก 3 ปีเพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 92 เป็นจำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานคือนางสาวสุอารีย์ จงเอื้อกลางเจ้าหน้าที่ธุรการประจำสำนักงานศึกษาธิการอำเภอบัวใหญ่และนายสมาน ศิริวัฒน์ศึกษาธิการอำเภอบัวใหญ่จดข้อความอันเป็นเท็จนั้น เห็นว่านางสาวสุอารีย์กับนายสมานรับแจ้งและจดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของคุรุสภาแม้บุคคลทั้งสองจะเป็นข้าราชการแต่ก็ไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267 การกระทำในส่วนนี้ของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ฎีกาขึ้นมาด้วยศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดในฟ้องข้อ (ก) ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267 กระทงหนึ่งและในฟ้องข้อ (ข) ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 อีกกระทงหนึ่งเป็นความผิด 2 กระทงแต่ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคสองกระทงเดียวให้จำคุก1 ปีเพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 92 รวมเป็นจำคุก1 ปี 4 เดือนคำขออื่นให้ยกเสีย’.

Share