คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3149/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ผู้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก็อาจทำได้ด้วยการส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อกลับคืนให้แก่จำเลย การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาโดยโจทก์ยังครอบครองรถยนต์คันที่เช่าซื้ออยู่ การบอกเลิกสัญญาจึงไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 573.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลย แต่จำเลยไม่มอบทะเบียนรถยนต์ ป้ายทะเบียนประจำรถยนต์ และป้างวงกลมให้โจทก์ ซึ่งเป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ การที่จำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย ต้องคืนค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ ค่าใช้จ่ายต่อตัวถังรถยนต์ และค่าขาดประโยชน์รวมเป็นเงิน 782,525 บาท ขอให้จำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่มีหน้าที่จัดการใบอนุญาตประกอบการขนส่งให้แก่ผู้เช่าซื้อ เพราะการจดทะเบียนรถบรรทุกเพื่อใช้ในการขนส่ง ผู้เช่าซื้อจะต้องดำเนินการเอง ที่รถยนต์คันพิพาทไม่มีทะเบียน จึงเป็นความผิดของโจทก์ โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่มีผลเนื่องจากโจทก์ยังครอบครองรถยนต์คันพิพาทอยู่ จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือค่าเช่าซื้อคืน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีประเด็นขึ้นสู่ศาลฎีกาที่จะวินิจฉัยว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามพยานโจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไปยังจำเลยทั้ง ๆ ที่โจทก์ยังครอบครองรถยนต์คันพิพาทอยู่ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลย หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก็อาจทำได้ด้วยการส่งมอบรถยนต์คันพิพาทคืนแก่จำเลย แต่ปรากฏว่าขณะโจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาโจทก์ยังครอบครองรถยนต์คันพิพาทอยู่ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share