แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินออกจากกัน จำนวน 3 แปลง แบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก แปลงที่ 1 เป็นของจำเลยที่ 2แปลงที่ 2ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้ เป็นของโจทก์ แปลงที่ 3 เป็นของจำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัดและยังมีเอกสารซึ่งเป็นรูปจำลองแผนที่ มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินออกเป็น4 ส่วน เขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อจำเลยที่ 3 ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วยเมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทการกำหนดลงไปในเอกสารทั้งสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียงแย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่ามีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะนำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอนเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสามถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 8385 โดยมิได้ระบุว่าผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใดครอบครองที่ดินส่วนไหนแต่จำเลยทั้งสามได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินเป็นสัดส่วนอยู่แล้ว ส่วนที่ดินทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ว่างโจทก์ประสงค์จะปลูกบ้านในที่ดินที่ว่างนี้จำเลยที่ 3 ขัดขวางและให้คนมาทำรั้วทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ดินแปลงนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ขอให้พิพากษาให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงนี้ออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กันโดยให้โจทก์และจำเลยทุกคนออกค่าใช้จ่ายในการรังวัดแบ่งแยกเท่า ๆ กันและให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ผู้เดียวหนึ่งในสี่ส่วนถ้าจำเลยไม่ไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ให้การว่าที่ดินตามฟ้องจำเลยทั้งสามได้แบ่งกันครอบครองเป็นส่วนสัดตรงตามฟ้องมาโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปีแล้วและใช้ทางเดินผ่านเข้าออกภายในที่ดินส่วนของโจทก์ซึ่งเป็นที่ว่างและของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ไม่ขัดข้องในการแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ได้หนึ่งในสี่ส่วนภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์เป็นผู้รับมรดกที่ดินพิพาทส่วนของนายอัมพร-สามีในที่ดินพิพาทไม่มีรั้วกั้นเป็นส่วนสัดระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์ทั้งสี่โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำความตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นหนังสือต่อหน้าพยานและเจ้าพนักงานที่ดินแล้วว่าที่ดินทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือให้เป็นของจำเลยที่ 1 ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นของจำเลยที่ 2ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นของโจทก์และที่ดินทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนบ้านเลขที่ 47 ตกลงกันให้เป็นของโจทก์เจ้าพนักงานได้ไปรังวัดที่ดินตามที่ตกลงกันและได้ตกลงเพิ่มเติมแบ่งที่ดินเป็นทางเดินออกจากที่ดินของจำเลยที่ 2 และของโจทก์ไปสู่ซอยเศรษฐบุตรได้มีการปักหมุดหลักเขตไว้แล้วและยังไม่มีการยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวจึงฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์บังคับให้โจทก์จำเลยทุกคนแบ่งแยกที่ดินแก่จำเลยที่ 3 หนึ่งในสี่ส่วนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ให้โจทก์ได้ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ตามแผนที่รังวัดของเจ้าพนักงานที่ได้รังวัดเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2525 หากฝ่ายใดไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ไม่เคยตกลงแบ่งแยกที่ดินพิพาทเอกสารท้ายฟ้องแย้งเป็นเอกสารปลอมโดยให้โจทก์ลงชื่อแล้วจำเลยกับพวกไปกรอกข้อความเอาเองลายมือชื่อโจทก์ในแผนที่จำลองเป็นลายมือชื่อปลอม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์บังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยที่2 ที่ 3 โดยให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 8385 ตำบลพระโขนง(ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานครตามบันทึกข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินฉบับลงวันที่ 29 มีนาคม 2525 ส่วนจำนวนเนื้อที่ดินนั้นให้โจทก์และจำเลยแต่ละคนได้รับส่วนเท่า ๆ กันหากโจทก์หรือจำเลยคนใดคนหนึ่งไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาให้โจทก์ออกค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการรังวัดหนึ่งในสี่ถ้าไม่ออกให้จำเลยที่ 2 หรือจำเลยที่ 3 ออกแทนไปแล้วให้บังคับชำระหนี้ตามจำนวนที่ออกไปพร้อมทั้งดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนางเล็กเล็กเจริญสุขยกให้บุตรชาย 4 คนคือจำเลยที่ 3 ที่ 2 นายอัมพรและนายสมจิตรต่อมานายสมจิตรยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรและโจทก์รับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนของนายอัมพรสามีซึ่งถึงแก่กรรมในที่พิพาทมีบ้านปลูกอยู่ 4 หลังทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเรือนไม้ 2 ชั้นเลขบ้านที่47/1 เป็นของนายสมจิตรบิดาจำเลยที่ 1 ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีเรือนไม้ 2 ชั้นของจำเลยที่ 2 หนึ่งหลังไม่มีเลขบ้านและตึกชั้นเดียว 1 หลังของนางศิริภริยาคนที่ 2 ของจำเลยที่ 2 เลขบ้านที่ 47/2 ส่วนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้มีเรือนไม้ 2 ชั้นพร้อมทั้งเรือนไม้ชั้นเดียวอีก 1 หลังเลขบ้านที่ 47 มีชื่อจำเลยที่ 2เป็นเจ้าบ้านแต่จำเลยที่ 3 เป็นคนปลูกที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ว่างอยู่ติดซอยเศรษฐบุตรภายในที่พิพาทไม่มีการกั้นรั้วเป็นส่วนสัดคงมีแต่ถนนผ่านกลางที่ดินเพื่อเข้าไปยังที่ดินด้านในผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสี่ได้เจรจาเพื่อตกลงแบ่งที่พิพาทกันหลายครั้งในที่สุดได้พร้อมกันไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโดยทำบันทึกแบ่งกรรมสิทธิ์รวมลงวันที่ 29 มีนาคม 2525 ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานด้วยกันทั้งในบันทึกและรูปแผนที่จำลองเจ้าพนักงานได้มารังวัดแบ่งแยกที่ดินในวันที่21 เมษายน 2525 โจทก์กับนางดรุณีมารดาจำเลยที่ 1 ไม่ยอมลงชื่อในบันทึกถ้อยคำและใบรับรองเขตที่ดิน การรังวัดแบ่งแยกที่ดินจึงไม่สำเร็จหลังจากวันรังวัดที่ดิน 4-5 วันโจทก์ก็ปลูกบ้านลงในที่ว่างด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้โดยมิได้ขออนุญาตต่อทางการแล้ววินิจฉัยว่าที่โจทก์ฎีกาว่าบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมายล.18 ล.34 มิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลใช้บังคับนั้นศาลฎีกาเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นบันทึกแบ่งกรรมสิทธิ์รวมมีข้อความว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินออกจากกันจำนวน 3 แปลงแบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกแปลงที่ 1 เป็นของจำเลยที่ 2 แปลงที่ 2 ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้เป็นของโจทก์แปลงที่ 3 เป็นของจำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัดและทุกคนจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตให้เป็นการแน่นอนต่อไป และยังมีเอกสารหมาย ล.19 ล.36 ซึ่งมีรูปจำลองแผนที่มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินออกเป็น 4 ส่วนเขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ชื่อจำเลยที่ 3 ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วยเมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทการกำหนดลงไปในเอกสารทั้งสองฉบับว่าผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียงแย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่ามีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะนำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอนเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นและไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไปแต่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้มีผลบังคับถึงจำเลยที่ 1 ด้วยนั้นยังไม่ถูกต้องเพราะฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสามและมาตรา 178
พิพากษาแก้เป็นว่าให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 8385 ตำบลพระโขนง(ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนงกรุงเทพมหานครออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กันให้จำเลยที่ 2 ได้ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือโจทก์ได้ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จำเลยที่ 3 ได้ที่ดินทางทิศตะวันออกเฉียงใต้หากโจทก์ไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนานอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.