คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2898/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาว่าข้อนำสืบของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนผู้เสียหายหรือโฆษณาต่อประชาชนให้ไปทำงานในประเทศตะวันออกกลาง และไม่นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ไม่ตั้งใจส่งผู้เสียหายไปทำงานยังต่างประเทศเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฉ้อโกงมาแต่ต้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดทางอาญาแต่เป็นความรับผิดทางแพ่ง เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
แม้ว่าวันเกิดเหตุของคดีความผิดฐานฉ้อโกงในคดีนี้จะคาบเกี่ยวกันกับคดีแรก แต่ผู้เสียหายเป็นคนละชุดกัน ถูกหลอกลวงต่างวันหรือต่างเวลากัน เงินที่ถูกหลอกลวงก็เป็นคนละจำนวนกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ซ้ำซ้อนกับคดีแรก
ปัญหาที่ว่ามีการกระทำผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตหลายกรรมหรือไม่ต้องพิจารณาว่าการจัดหางานนั้นได้กระทำต่อเนื่องเป็นคราวเดียวกันหรือไม่ มิใช่พิจารณาว่าเป็นการจัดหางานให้แต่ละคนหรือแต่ละช่วงเวลาตามแต่จะกำหนดเป็นสำคัญ เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสามได้ออกอุบายตั้งสำนักงานจัดหางานให้แก่ประชาชนทั่วไป ทั้งการกระทำผิดในคดีนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาคาบเกี่ยวต่อเนื่องกับคดีแรกโดยไม่ปรากฏว่ามีการหยุดดำเนินกิจการในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาดำเนินการในการจัดหางานคราวเดียวกันการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ทั้งสองคดีในความผิดฐานนี้จึงเป็นกรรมเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานจัดหางาน ฯ จึงซ้อนกับคดีแรก ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ฎีกาที่ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนนั้นเป็นฎีกาปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัย
เมื่อฟ้องโจทก์บางฐานความผิดเป็นฟ้องซ้อน ถือได้ว่าเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาให้มิต้องรับโทษในฐานความผิดที่เป็นฟ้องซ้อนด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา341, 343, 83, 91 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2511 มาตรา 7, 27 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 หลบหนีศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ต่อมาจับจำเลยที่ 1 ได้ จึงยกคดีขึ้นพิจารณาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7 จำคุก 1 เดือน และมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 ให้ลงโทษตามมาตรา 343 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 5 ปี
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและได้กระทำโดยเจตนาทุจริตหลอกลวงประชาชน ว่าจะส่งผู้สมัครไปทำงานในประเทศตะวันออกกลางทำให้จำเลยที่ 1 ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหาย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าข้อนำสืบของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนผู้เสียหายหรือโฆษณาต่อประชาชนให้ไปทำงานในประเทศตะวันออกกลาง และไม่ได้นำสืบให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ตั้งใจส่งผู้เสียหายไปทำงานยังต่างประเทศ เพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฉ้อโกงมาแต่ต้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดอาญาแต่เป็นความรับผิดทางแพ่ง และจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับทรัพย์สินจากผู้เสียหายหรือบุคคลภายนอก ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นั้น เห็นว่าข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ล้วนเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาดังกล่าวข้างต้น เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์คดีนี้ซ้ำซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 15403/2526 ของศาลชั้นต้น นั้น เห็นว่าสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงนั้นแม้ว่าวันเวลาเกิดเหตุของคดีทั้งสองสำนวนจะคาบเกี่ยวกัน แต่ผู้เสียหายในคดีทั้งสองสำนวนก็เป็นคนละชุดกัน เงินที่ถูกหลอกลวงก็เป็นคนละจำนวนกัน ทั้งผู้เสียหายทั้งสองสำนวนถูกหลอกลวงต่างวันหรือต่างเวลากันจึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ มิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในฐานความผิดฉ้อโกงคดีนี้จึงไม่ซ้ำซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 15403/2526 ของศาลชั้นต้น
ส่วนความผิดฐานจัดหางานโดยเรียกและรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนนั้น ตามความในมาตรา 19 ของ พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 ซึ่งใช้บังคับในขณะเกิดเหตุคดีนี้นั้น เป็นที่เห็นได้ว่าเมื่อได้รับอนุญาตให้จัดหางานแล้วก็สามารถดำเนินการในการจัดหางานได้ตามเวลาที่กำหนด มิใช่ว่าเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจะจัดหางานได้เพียงครั้งหนึ่งคราวเดียว ปัญหาที่ว่าจะมีการกระทำฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตหลายกรรมต่างกันหรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่าการจัดหางานนั้นได้กระทำต่อเนื่องเป็นคราวเดียวกันหรือไม่ มิใช่พิจารณาว่าเป็นการจัดหางานให้แต่ละคนหรือแต่ละช่วงระยะเวลาตามแต่จะกำหนดเป็นสำคัญ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 15403/2526 ของศาลชั้นต้นได้ความว่าจำเลยทั้งสามได้ออกอุบายตั้งสำนักงานในชื่อของจำเลยที่ 3ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดดำเนินการจัดหางานให้แก่ประชาชนทั่วไปที่ประสงค์จะไปทำงานในประเทศตะวันออกกลาง ทั้งการกระทำผิดนี้คาบเกี่ยวต่อเนื่องกันทั้งสองคดีโดยไม่ปรากฏว่ามีการหยุดดำเนินกิจการในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาจะดำเนินการในการจัดหางานคราวเดียวกัน การกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ทั้งสองคดีในความผิดฐานนี้จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ฟ้องโจทก์ในฐานความผิดจัดหางานโดยเรียกและรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนคดีนี้จึงซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 15403/2526 ของศาลชั้นต้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้มิได้ว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรค 2 ประกอบด้วยมาตรา 225 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และโดยที่ข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนว่าต่อมาจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมตัวได้ ศาลชั้นต้นได้ยกคดีขึ้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 83, 91 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2524 ข้อ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด เมื่อคดีฟังได้ว่าฟ้องโจทก์ฐานความผิดจัดหางานโดยเรียกและรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตคดีนี้ซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 15403/2526 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายแล้ว จึงถือว่าเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษในฐานความผิดดังกล่าวดุจจำเลยที่ 1 ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share