คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์กับผู้มีชื่อ 3 คน ซื้อที่ดินมาทั้งโฉนด เป็นกรรมสิทธิ์รวมโดยใช้ชื่อ ส. ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทน เพราะโจทก์กับพวกเป็นคนต่างด้าวไม่มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ โจทก์กับพวกได้แบ่งแยกกันครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองอย่างเป็นส่วนสัดมาเกินสิบปีแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นการครอบครองที่ดินส่วนของบุคคลอื่นโดยปรปักษ์จำเลยซื้อที่ดินทั้งแปลงจาก ส. แต่จำเลยก็มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่พิพาทที่โจทก์ครอบครอง จึงเป็นการยอมรับว่าที่ดินส่วนนั้นมิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2497 โจทก์กับผู้มีชื่อ 3 คนร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 9649 แต่จดทะเบียนโอนใส่ชื่อ ส. ภรรยาผู้มีชื่อคนหนึ่งที่ร่วมซื้อที่ดินด้วยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน แล้วตกลงแบ่งที่ดินเป็น 4 ส่วน โจทก์เข้าครอบครองทางด้านทิศเหนือมีเนื้อที่ประมาณ 274 ตารางวา และปลูกบ้านเลขที่ 129/1 ปัจจุบันเป็นเลขที่ 998 ปลูกสร้างศาลเจ้า ปลูกสร้างโรงงานฟอกหนังปีนังสโตร์ปลูกสร้างโรงเลี้ยงสุกร และกั้นรั้วแนวเขตครอบครองตั้งแต่ปีพ.ศ. 2497 ตลอดมาจนบัดนี้ ด้วยความสงบและเปิดเผยเป็นเวลากว่า20 ปี ทั้งได้แบ่งให้บุคคลเช่าและเก็บค่าเช่าตลอดมาจนถึงปัจจุบันเมื่อเดือนเมษายน 2521 โจทก์ทราบว่า ส. โอนขายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของสามี ส. กับส่วนของผู้มีชื่ออีกคนหนึ่งให้จำเลย ส.แจ้งให้จำเลยทราบถึงส่วนของโจทก์ จำเลยรับโอนที่ดินดังกล่าวมาทั้งโฉนดโดยไม่สุจริต และจดทะเบียนโดยไม่สุจริต โจทก์ได้ครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์ โดยปรปักษ์กว่า 10 ปี โจทก์แจ้งจำเลยให้จดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ก็เพิกเฉยขอให้พิพากษาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เฉพาะเนื้อที่ 274 ตารางวาดังกล่าว ให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 9649 ออกเป็นโฉนดใหม่ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนให้โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า ไม่รับรองที่โจทก์อ้างการครอบครองที่พิพาทส. ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยทั้งแปลงเต็มหน้าโฉนด จำเลยซื้อโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนตามราคาของที่ดินในขณะนั้น โจทก์ไม่เคยคัดค้านการที่โจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัย ปลูกศาลเจ้าปลูกโรงงานฟอกหนังสัตว์ ปลูกโรงเลี้ยสุกร โดยอาศัยสิทธิและขออนุญาตจาก ส. เจ้าของเดิม ครั้นจำเลยซื้อที่พิพาทจาก ส. จึงได้อาศัยสิทธิของจำเลยและมิใช่เป็นการครอบครองปรปักษ์ จำเลยได้เก็บผลประโยชน์จากที่พิพาทตลอดมารวมทั้งเป็นผู้เสียภาษีมาจนบัดนี้ โจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยทราบว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยซื้อที่พิพาทโดยรู้ว่าโจทก์มีส่วนถือกรรมสิทธิ์ตามฟ้องและฟังไม่ได้ว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่9649 เฉพาะเนื้อที่ 274 ตารางวาให้จำเลยจัดการแบ่งแยกจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง หากจำเลยไม่จัดการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ได้ความจากพยานจำเลยว่า เมื่อจำเลยซื้อที่ดินแล้วจำเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องที่ดินบริเวณศาลเจ้าซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา และมิได้ไปเก็บค่าเช่าด้วย จึงเป็นการยอมรับในสิทธิของที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองว่าที่ดินส่วนนั้นมิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย… เห็นว่าโจทก์กับพวกร่วมกันซื้อที่ดินมาทั้งโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์รวม เมื่อโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทซึ่งอยู่ทางตอนเหนือตามที่แบ่งแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัด ย่อมถือได้ว่าเป็นการครอบครองที่ดินส่วนของบุคคลอื่นโดยปรปักษ์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 9649ตำบลคลองตัน (คลองเตย) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร เฉพาะเนื้อที่ 274 ตารางวา ตามแผนที่ในกรอบเส้นสีแดงท้ายฟ้องจึงชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share