คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2682/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ระบุในฟ้องว่าเหตุเกิดที่ตำบล ใด ไม่ปรากฏชัด อำเภอคีรีรัฐนิคมจังหวัดสุราษฎร์ธานีและตำบลดอนยางอำเภอปะทิวจังหวัดชุมพร เมื่อได้ปิดประกาศสำเนา พ.ร.ฎ. กำหนดไม้หวงห้าม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2510 ซึ่งกำหนดไม้ชาเรียนหรือทุเรียนป่าเป็นไม้หวงห้าม ณ ที่ว่าการอำเภอปะทิวและที่ทำการกำนันตำบลดอนยางอันเป็นที่เกิดเหตุแห่งหนึ่งแล้ว ถือได้ว่าได้มีการปิดประกาศสำเนาพ.ร.ฎ. กำหนดไม้หวงห้ามดังกล่าวในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 5 แล้ว.

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่าจำเลยได้ร่วมกันมีไม้ชาเรียนหรือทุเรียนป่า 7 ท่อน รวมปริมาตร 13.46 ลูกบาศก์เมตร และ 8 ท่อนรวมปริมาตร 17.82 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของและครอบครองร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้รถยนต์สิบล้อบรรทุกไม้หวงห้ามดังกล่าวพาเคลื่อนที่ไปให้พ้นเขตอำเภอคีรีรัฐนิคมจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อไปยังกรุงเทพมหานคร โดยรู้อยู่แล้วว่าไม้ดังกล่าวเป็นไม้ที่จำเลยที่ 3 ได้มาโดยการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 เหตุเกิดที่ตำบลใดไม่ปรากฏชัดอำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี และตำบลดอนยาง อำเภอปะทิวจังหวัดชุมพร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2474 มาตรา 69, 70, 74, 74 จัตวา ฯลฯ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 70, 74 ฯลฯ จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2คนละ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 กระทำผิดต่างกรรมกัน ให้จำคุกกระทงละ1 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 2 ปี ริบไม้ของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย “ที่จำเลยทั้งสามแก้ฎีกาว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2510 ซึ่งกำหนดไม้ชาเรียนหรือทุเรียนป่าเป็นไม้หวงห้ามนั้น ไม่ปรากฏว่าได้มีการปิดประกาศสำเนาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ณ ที่ว่าการอำเภอที่ทำการกำนันหรือที่สาธารณสถาน จึงลงโทษจำเลยไม่ได้นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 5 บัญญัติว่า “พระราชกฤษฎีกาหรือประกาศรัฐมนตรีซึ่งกำหนดขึ้นตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้คัดสำเนาประกาศไว้ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ทำการกำนันหรือที่สาธารณสถานในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้อง” แม้ไม่ปรากฏว่า ได้คัดสำเนาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวปิดไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการกำนัน หรือที่สาธารณสถานในท้องที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ได้ความจากนายสมบุญ หัสไทย ซึ่งเป็นกำนันตำบลดอนยาง อำเภอปะทิวว่า ได้ปิดสำเนาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวณ ที่ว่าการอำเภอปะทิว ที่ทำการกำนันตำบลดอนยาง และที่ทำการกำนันตำบลอื่นในท้องที่อำเภอปะทิวแล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์ระบุในฟ้องว่าเหตุเกิดที่ตำบลใดไม่ปรากฏชัดอำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานีและตำบลดอนยาง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เมื่อได้ปิดประกาศสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามดังกล่าว ณ ที่ว่าการอำเภอปะทิวและที่ทำการกำนันตำบลดอนยาง อันเป็นท้องที่เกิดเหตุ แห่งหนึ่งแล้วก็ถือได้ว่าได้มีการปิดประกาศสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามดังกล่าวในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้องตามบทกฎหมายดังกล่าว
ที่จำเลยทั้งสามแก้ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า คดีทั้งสองสำนวนนี้เป็นคดีเดียวกันไม้ของกลางเป็นไม้รายเดียวกัน นำมาจากสถานที่เดียวกัน จึงถือเป็นคดีเดียวกัน โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ทั้งสองสำนวนจึงเป็นฟ้องซ้ำกัน เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 สองสำนวน ในความผิดต่างกรรมกัน ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณา มิใช่กรณีศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องจำเลยอีกในการกระทำอันเดียวกัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นฟ้องซ้ำ…”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยทั้งสามไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share