คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซื้อรถจักรยานยนต์ราคา 10,000 กว่าบาท ด้วยราคาเพียง 5,000 บาท โดยไม่มีการโอนทะเบียนรถกันให้ถูกต้อง เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์ไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 357และคืนรถจักรยานยนต์ให้โจทก์ร่วม
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายอดิเรก สายบุตร ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา357 จำคุก 1 ปี คืนรถจักรยานยนต์แก่โจทก์ร่วม ยกฟ้องข้อหาลักทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์ตามที่โจทก์ฎีกาว่า พยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยรับรถจักรยานยนต์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา ปัญหานี้โจทก์มีพยานคือโจทก์ร่วมและนายประสิทธิ์ตะวันหะ เบิกความว่า เมื่อภาพยนตร์เลิก ออกมาจากโรงภาพยนตร์ก็ทราบว่ารถจักรยานยนต์หายไป ต่อมาโจทก์ร่วมก็ไปเห็นรถของตนที่บ้านจำเลย นายพาบิดาโจทก์ร่วมเบิกความว่า ไปขอรถคืนจากจำเลย จำเลยไม่ยอมคืนให้ อ้างว่าซื้อมาจากอำเภอกระสัง ในราคา 5,000 บาท นายเคียม ทองนำ ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเบิกความว่า จำเลยบอกว่ารับซื้อรถจักรยานยนต์ไว้ในราคา 5,000 บาทจากคนที่อำเภอกระสัง ทราบต่อมาว่าเป็นของโจทก์ร่วม จำเลยขอให้พยานไปบอกโจทก์ร่วมมาซื้อคืนไป พยานโจทก์ทั้ง 5 ปากที่กล่าวมาไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ทั้งเป็นลูกบ้านและผู้ช่วยของจำเลยเอง จึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้รับซื้อรถจักรยานยนต์ไว้ในราคา 5,000 บาทจริง ข้ออ้างของจำเลยที่ว่า โจทก์ร่วมไปฝากไว้ เพราะไม่ต้องการให้บิดาโจทก์ร่วมเห็นเนื่องจากนายเสริมไปทำรถเสียหายนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะนายเสริมพยานจำเลยกลับเบิกความว่า ได้ซ่อมรถดีแล้ว ไปมอบให้มารดาโจทก์ร่วมที่บ้านโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบ้านบิดาโจทก์ร่วมนั่นเอง และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจกับโจทก์ร่วมไปยึดรถมาจากบ้านจำเลยภรรยาจำเลยเองก็ไม่ทราบเรื่องที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ร่วมมาฝากรถไว้ รถอยู่ที่บ้านจำเลยเป็นเวลาหลายวัน หากโจทก์ร่วมฝากไว้จริง ภรรยาจำเลยก็น่าจะรู้และยืนยันไปกับเจ้าพนักงานตำรวจว่าโจทก์ร่วมฝากไว้เอง อนึ่งหากนายเสริมเป็นคนยืมรถโจทก์ร่วมไปแล้วทำรถเสียหายก็ไม่มีเหตุผลที่โจทก์ร่วมจะกล่าวหาจำเลย ซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองเป็นคดีอาญา การที่จำเลยซื้อรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมซึ่งมีราคา 10,000 กว่าบาทด้วยราคาเพียง 5,000บาท โดยไม่มีการโอนทะเบียนรถกันให้ถูกต้อง เช่นนี้ จึงเชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์ไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจรคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น’
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share