คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2377/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ ส. กับ ก. เป็นเจ้าของรวมที่ดินพิพาทบุคคลทั้งสามตกลงแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว ต่อมาจำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของ ก.แต่ไม่ยอมไปจัดการแบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลง ขอให้ศาลบังคับจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาท หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย เช่นนี้ การที่ศาลพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยแสดงว่าให้แบ่งตามความตกลงตามฟ้องมิใช่แบ่งตามลำดับและวิธีการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ดังนั้น การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยยึดถือส่วนในโฉนดและความตกลงตามแผนที่แบ่งกรรมสิทธิ์รวม จึงเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์นางสมรและนางกิมเอ็ง เป็นเจ้าของรวมที่ดินพิพาท บุคคลทั้งสามตกลงแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวแล้ว ต่อมาจำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของนางกิมเอ็งแต่ไม่ยอมไปจัดการแบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลง ขอให้ศาลบังคับจำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดตามฟ้อง หากไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาท หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยฎีกา แต่ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและให้ยกฎีกาของจำเลยคดีถึงที่สุด จำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ดำเนินการบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่พิพาท
จำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษา โดยโจทก์ไปทำการจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวและขอออกโฉนดที่ดินในส่วนที่โจทก์นำชี้ โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลย และโจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทใหม่เป็นโฉนดที่ดิน 3 แปลง มีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ขอให้ยกเลิกการบังคับคดีของโจทก์ให้โจทก์บังคับคดีให้ถูกต้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากบังคับคดีไม่ได้ให้ขายทอดตลาดที่ดินพิพาทต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดพร้อม
ก่อนถึงวันนัดพร้อม เจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือที่สค.0020/1399 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2528 หารือมายังศาลชั้นต้นว่า การรังวัดเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งของการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม เมื่อจำเลยไม่ไปร่วมทำการรังวัด พนักงานเจ้าหน้าที่จะมีอำนาจทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยได้หรือไม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยจะต้องไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามสัญญาแบ่งที่ดินตามฟ้องและให้ทำหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อให้ดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์นางสมรนางกิมเอ็ง มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 1227 ต่อมาโจทก์ นางสมรและนางกิมเอ็งพากันไปพบเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแบ่งแยกที่ดินกัน และได้ทำข้อตกลงไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 หลังจากนั้นนางกิมเอ็งยกที่ดินส่วนของตนให้จำเลย แล้วศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต่อไปว่า เมื่อจำเลยรับโอนที่ดินส่วนของนางกิมเอ็งมาเป็นของจำเลยแล้ว จึงถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดดังกล่าวคนหนึ่ง และเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 จำเลยไม่ยอมแบ่งจึงขัดต่อบทบัญญัติดังกล่าว แล้วพิพากษาให้จำเลยไปจัดการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1227 หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ดังนี้เห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยแสดงว่าให้แบ่งตามความตกลงตามฟ้อง มิใช่แบ่งตามลำดับและวิธีการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ดังจำเลยฎีกา ได้ความว่าโจทก์มีส่วนในที่ดินพิพาท 3 ใน 6 ส่วน นางสมรมี 2 ใน 6 ส่วน และจำเลยซึ่งรับยกให้จากนางกิมเอ็งอีก 1 ใน 6ส่วน เจ้าของรวมเดิมตกลงกันตามเอกสารหมาย จ.2 ให้แบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกเป็นของนางกิมเอ็ง ตอนกลางเป็นของนางสมร และทางทิศตะวันออกเป็นของโจทก์ การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 3 ส่วน โดยยึดถือส่วนในโฉนดและความตกลงตามเอกสารหมาย จ.2 ปรากฏตามแผนที่แบ่งกรรมสิทธิ์รวมแนบท้าย หนังสือที่ สค 0020/1399 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2528 ที่เจ้าพนักงานที่ดินส่งมายังศาลชั้นต้น จึงเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อันถึงที่สุดแล้ว
พิพากษายืน.

Share