คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2187/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฎีกาว่า วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม โจทก์ไม่ได้มาศาล ทนายโจทก์กับจำเลยคบคิดกันฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยกที่ดินพร้อมบ้านซึ่งเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ให้แก่ จ. อันเป็นการขัดกับเจตนาแท้จริงของโจทก์ ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยได้ฉ้อฉลโจทก์อย่างไร ส่วนข้อกล่าวอ้างของโจทก์ที่ว่า ทนายโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยไม่ตรงตามเจตนาอันแท้จริงของโจทก์นั้น แม้จะฟังว่าเป็นความจริงก็เป็นความผิดของทนายโจทก์เอง หาใช่เป็นการฉ้อฉลของฝ่ายจำเลยไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันมีบุตรด้วยกัน 1คนจำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หาเรื่องทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายโจทก์ ต่อมาจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไม่ส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์และบุตรจำเลยฟ้องนายยงยุทธกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าทดแทนจำนวน 400,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่ามิได้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงมิได้จงใจทิ้งร้างโจทก์การที่จำเลยมิได้อยู่ร่วมกับโจทก์เพราะโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนายยงยุทธ จำเลยอุปการะเลี้ยงดูบุตรตลอดมาโจทก์มีรายได้พอเลี้ยงตนเองไม่เดือดร้อน จำเลยมิได้กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่เสียหายขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยินยอมโอนโฉนดที่ดินเนื้อที่154 ตารางวาพร้อมบ้านให้แก่บุตรของโจทก์จำเลยและจำเลยยินยอมไปจดทะเบียนหย่าภายใน 7 วันนับแต่วันที่โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินให้บุตร ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์อุทธรณ์ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความขัดกับเจตนาอันแท้จริงของโจทก์และมีการคบคิดกันฉ้อฉลโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่โจทก์ฎีกาว่าวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม โจทก์ไม่ได้มาศาลทนายโจทก์กับจำเลยคบคิดกันฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมยอมความยกที่ดินพร้อมบ้านซึ่งเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ให้แก่เด็กชายจตุพรอันเป็นการขัดกับเจตนาแท้จริงของโจทก์นั้น เห็นว่าตามฎีกาของโจทก์ไม่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยได้ฉ้อฉลโจทก์อย่างไรข้อกล่าวอ้างของโจทก์ที่ว่า ทนายโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยไม่ตรงตามเจตนาอันแท้จริงของโจทก์นั้นแม้จะฟังว่าเป็นความจริงก็เป็นความผิดของทนายโจทก์เองหาใช่เป็นการฉ้อฉลของฝ่ายจำเลยไม่
พิพากษายืน.

Share