คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ของ ผู้ร้องที่ 1 ที่ขอให้งดการขายทอดตลาด ผู้ร้องที่ 1 มิได้อุทธรณ์ คำสั่งดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องที่ 1 จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตาม ป.วิ.พ.มาตรา 280(2) เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ต้องแจ้งวันขายทอดตลาดให้ผู้ร้องที่ 1 ทราบ การขายทอดตลาดเป็นไปโดยชอบ ผู้ร้องที่ 2ยื่นคำร้องขัดทรัพย์เมื่อได้มีการขายทอดตลาดเสียแล้ว จึงหมดสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์.

ย่อยาว

คดีทั้งสองเรื่องนี้สืบเนื่องจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องว่าที่ดินที่ยึดส่วนหนึ่งเป็นของตน เคยร้องขอให้ศาลงดการขายทอดตลาดไว้แล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายทอดตลาดที่ดินที่ยึด โดยมิได้แจ้งให้ตนทราบ ขอให้เพิกถอนการขายและขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องว่าที่ดินที่ยึดส่วนหนึ่งเป็นของตนขอให้ปล่อยที่ดินของตน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในการขายทอดตลาดที่ดินแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสองต่อไป
นายสว่าง อักษรศรี ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ผู้ร้องที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2519 ผู้ร้องที่ 1 มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ 1ถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280(2 เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับอนุญาตจากศาลให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้แล้ว จึงไม่ต้องแจ้งวันขายทอดตลาดให้แก่ผู้ร้องที่ 1 ทราบการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจึงเป็นการขายที่ชอบแล้ว ส่วนผู้ร้องที่ 2ยื่นคำร้องเมื่อได้มีการขายทอดตลาดที่ดินที่อ้างว่าเป็นของผู้ร้องที่ 2 เสียแล้ว ผู้ร้องที่ 2 จึงหมดสิทธิ์ที่จะร้องขอให้ปล่อยที่ดินที่ยุดไว้ได้ ฎีกาของนายสว่าง อักษรศรี ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.

Share