แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ขอเพิ่มเติมคำฟ้องเป็นใจความว่า ก่อนนำเช็คพิพาทมาฟ้อง โจทก์ได้นำเช็คพิพาทกับเช็คอีกฉบับหนึ่งไปฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาแล้ว ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องคดีอาญา เนื่องจากจำเลยตกลงขอผ่อนชำระหนี้ตามเช็ค จำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คอีกฉบับหนึ่งให้โจทก์แล้ว แต่จำเลยมิได้ผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์กรณีหาใช่เป็นเรื่องแก้ไขคำฟ้องโดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้สมบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179(1)(2) ไม่ แต่เป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นมาของเช็คพิพาท จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องขอแก้ไขในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 180
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทลงวันที่ 24 สิงหาคม 2527 เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงได้นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คในวันที่ 27 สิงหาคม2528 ซึ่งพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันเช็คถึงกำหนดแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ และจำเลยได้ชำระเงินตามเช็คให้โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องว่านอกจากเช็คพิพาทแล้วโจทก์ยังเป็นผู้ทรงเช็คของจำเลยอีกฉบับหนึ่ง โจทก์นำเช็คทั้งสองฉบับฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาต่อมาโจทก์ถอนฟ้องเนื่องจากจำเลยตกลงขอผ่อนชำระหนี้ แต่จำเลยชำระหนี้ตามเช็คอีกฉบับหนึ่ง ส่วนเช็คพิพาทจำเลยยังมิได้ผ่อนชำระให้โจทก์
จำเลยแถลงคัดค้านว่า โจทก์เพิ่งยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องในวันนัดสืบพยานโจทก์และตั้งรูปคดีขึ้นใหม่ เป็นการแก้ไขสาระสำคัญของรูปคดี
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องมีคำสั่งให้งดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องในวันนัดสืบพยานโจทก์ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ขอเพิ่มเติมคำฟ้องเป็นใจความว่า นอกจากเช็คพิพาทโจทก์ยังเป็นผู้ทรงเช็คอีกฉบับหนึ่งจำนวนเงิน 10,000 บาท ก่อนนำเช็คพิพาทมาฟ้อง โจทก์ได้นำเช็คพิพาทกับเช็คอีกฉบับหนึ่งไปฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาแล้ว ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาเนื่องจากจำเลยตกลงขอผ่อนชำระหนี้ตามเช็ค จำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คอีกฉบับหนึ่งให้โจทก์แล้ว แต่จำเลยมิได้ผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์ กรณีหาใช่เป็นเรื่องแก้ไขคำฟ้องโดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือเพิ่มเติมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (1) (2) ไม่ แต่เป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นมาของเช็คพิพาทจึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องขอแก้ไขในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ซึ่งแม้โจทก์จะไม่ขอแก้ไขโดยเพิ่มเติมรายละเอียดดังกล่าว โจทก์ก็อาจนำสืบถึงความเป็นมาดังกล่าวนั้นได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดดังกล่าวในคำฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่อย่างไรก็ดี คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเพียงว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว และจำเลยฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าไม่จำเป็นและเห็นสมควรวินิจฉัยคดีให้เสร็จสิ้นไป โดยไม่ต้องย้อนสำนวน ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทลงวันที่ 24 สิงหาคม 2527 เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงได้นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้รับผิดใช้เงินตามเช็คได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันเช็คถึงกำหนด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1002 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คในวันที่ 27 สิงหาคม 2528 ซึ่งพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันเช็คถึงกำหนดแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวมสองศาลเป็นเงิน 1,200 บาท’.