แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะ ว. แตกเลือดไหลแล้วกระสุนปืนลั่นไปถูก ด.ตายและส. ได้รับบาดเจ็บ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ว. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ปืนยิงเพื่อฆ่าหรือทำร้าย ว.กรณีจึงมิใช่เป็นการที่จำเลยมีเจตนากระทำต่อ ว. แต่ผลของการกระทำเกิดแก่ ด.และส. โดยพลาด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 290,295 ประกอบด้วยมาตรา 60 อย่างไรก็ตามเมื่อการที่กระสุนปืนลั่นเป็นผลให้ ด.ตายและส. ได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นเพราะความประมาทของจำเลยในการใช้ปืนตี ว.จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 291,390 และถึงแม้ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำโดยเจตนา แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเช่นนี้ศาลก็ลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,288, 295 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา290, 295, 60, 295 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิจำเลยอายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 ให้จำคุกตามมาตรา 290 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มีกำหนด 6 ปี ข้อหามีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี ข้อหาพาอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน รวมโทษจำคุก 7ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่กรรมหนึ่ง พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการอุปสมบทการรื่นเริงและการมหรสพกรรมหนึ่ง และใช้ด้ามปืนดังกล่าวตีศีรษะนายวิทยาได้รับบาดเจ็บเลือดไหลเข้าตาต้องรักษาประมาณ7 วันแล้วกระสุนปืนลั่นไปถูกเด็กหญิงดรุณีถึงแก่ความตาย และถูกนางสาวสายใจได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวประมาณ 10 วันอีกกรรมหนึ่ง และวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำกรรมหลังของจำเลยว่า การที่จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะนายวิทยาได้รับบาดเจ็บย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ปืนยิงเพื่อฆ่าหรือทำร้ายนายวิทยา กรณีจึงมิใช่เป็นการที่จำเลยมีเจตนากระทำต่อนายวิทยา แต่ผลของการกระทำเกิดแก่เด็กหญิงดรุณีและนางสาวสายใจโดยพลาด อันอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 290, 295 ประกอบด้วย มาตรา 60 อย่างไรก็ตามการที่กระสุนปืนลั่นขึ้นดังกล่าวนั้น เกิดจากจำเลยไม่ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ซึ่งจำเลยอาจใช้ได้ในการใช้อาวุธปืนตีนายวิทยา ถือได้ว่ากระสุนปืนลั่นขึ้นเพราะความประมาทของจำเลย และเมื่อความประมาทนั้นเป็นผลให้เด็กหญิงดรุณีถึงแก่ความตายและนางสาวสายใจได้รับบาดเจ็บ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390 และถึงแม้ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำโดยเจตนา แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเช่นนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192 วรรคสอง และวรรคสามก็บัญญัติให้ศาลลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา291, 295, 390 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72ทวิ จำเลยกระทำความผิดขณะมีอายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ให้ลงโทษฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาทจำคุก 4 ปี ข้อหามีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี และข้อหาพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน รวมโทษจำคุก 5 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 8 เดือน ของกลางริบ.