แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์อ้างว่าจำเลยซื้อที่ดินโจทก์เฉพาะส่วนที่จำเลยรุกล้ำตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 แล้วไม่ชำระราคาตามกำหนด โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยกล่าวแก้ว่าส่วนที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำจำเลยครอบครองมาตั้งแต่ได้รับยกให้ โจทก์จำเลยโต้เถียงกัน เพื่อไม่ให้ต้องดำเนินคดีกัน จำเลยยินยอมให้เงินโจทก์ 2,000 บาทได้ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ไว้ ปรากฏว่าตามสัญญาเอกสารหมายจ.1 ไม่มีข้อความใดระบุว่าเป็นการซื้อขาย คงมีแต่เพียงว่าจำเลยจะจ่ายเงินให้โจทก์ 2,000 บาท ใน 60 วัน และไม่มีข้อความใดระบุว่าถ้าหากจำเลยไม่ใช้เงินแก่โจทก์ตามกำหนดแล้ว คู่สัญญาต้องปฏิบัติอย่างไรต่อกันจึงต้องถือเอาเจตนาในการเข้าทำสัญญาระหว่างกันจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินตามสัญญา แต่โจทก์ไม่ได้ขอให้บังคับตามข้อนี้ ส่วนประเด็นที่โจทก์อ้างว่าจำเลยซื้อขายที่ดินส่วนที่รุกล้ำนั้นจำเลยปฏิเสธว่าให้เงินเพื่อไม่ต้องดำเนินคดีแก่กัน ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบตามข้อกล่าวอ้าง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงจะซื้อที่ดินของโจทก์ ศาลจึงบังคับขับไล่จำเลยตามฟ้องไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่ 1 เฉพาะส่วนที่จะยกให้แก่โจทก์ที่ 2 ต่อมาจำเลยได้ตกลงซื้อที่ดินส่วนที่รุกล้ำจากโจทก์ที่ 1 ปรากฏตามหนังสือสัญญาเอกสารท้ายฟ้อง เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ชำระเงินโจทก์ที่ 1 จึงบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยรื้อถอนเรือนออกไปกับทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเรือนออกไปจากที่ดินเฉพาะส่วนซึ่งต่อมาโจทก์ที่ 2 ได้รับการยกให้แล้ว เนื้อที่กว้าง10 ศอกครึ่ง ยาว 15 ศอก และทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม หากจำเลยไม่กระทำ ให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า ที่ดินบริเวณที่โจทก์อ้างว่าจำเลยปลูกเรือนรุกล้ำนั้นเป็นที่ดินของจำเลย ที่จำเลยทำสัญญายอมชำระเงินให้โจทก์ที่ 1 เพื่อจะไม่ต้องเป็นความกัน โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ที่ 2 กว้าง 10 ศอกครึ่ง ยาว 15 ศอก และทำที่ดินให้เป็นสภาพเดิมโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่รื้อถอน ให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์ที่ 2 รื้อสิ่งปลูกสร้างของจำเลยได้เองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยตกลงซื้อที่ดินของโจทก์ทางทิศตะวันออกเฉพาะส่วนซึ่งจำเลยปลูกเรือนรุกล้ำกว้าง 10 ศอกครึ่งยาว 15 ศอก ในราคา 2,000 บาท ตกลงจะชำระเงินให้โจทก์ภายในกำหนด 60 วันนับจากวันทำสัญญาซื้อขายกันคือวันที่17 กรกฎาคม 2528 เป็นต้นไป ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ชำระเงิน โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาซื้อขาย ขอให้ศาลขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยกล่าวแก้ว่า ที่ดินส่วนที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำนั้นเป็นที่ดินของจำเลยครอบครองมาตั้งแต่ได้รับยกให้ คือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ต่อมาเมื่อปีพ.ศ. 2528 โจทก์นำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินของโจทก์รุกล้ำเข้าไปในที่ดินซึ่งจำเลยครอบครอง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้นเพื่อที่จะไม่ต้องดำเนินคดีแก่กัน และเพื่อไม่ให้โจทก์นำรังวัดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยของจำเลยอีก จำเลยจึงยินยอมเสียเงินให้โจทก์จำนวน 2,000 บาท เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.1 ไม่มีข้อความใดระบุว่ามีการซื้อขายที่ดินแก่กันดังที่โจทก์กล่าวอ้าง คงมีแต่เพียงว่าจำเลยจะจ่ายเงินให้โจทก์จำนวน 2,000 บาท ภายในกำหนด 60 วันนับจากวันที่ 17 กรกฎาคม 2528 ซึ่งเป็นวันทำสัญญากันเป็นต้นไปและไม่มีข้อความใดระบว่าถ้าหากจำเลยไม่ชำระเงินแก่โจทก์ตามกำหนดแล้ว คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติอย่างไรต่อกันจึงต้องถือเอาเจตนาในการเข้าทำสัญญาระหว่างกันตามเอกสารหมาย จ.1 กล่าวคือเมื่อจำเลยยังไม่ชำระเงินแก่โจทก์ จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระ แต่โจทก์ไม่ได้ขอให้บังคับในข้อนี้ สำหรับข้อกล่าวอ้างเป็นประเด็นในฟ้องว่าจำเลยตกลงซื้อที่ดินส่วนซึ่งจำเลยรุกล้ำในราคา 2,000 บาท นั้นจำเลยให้การปฏิเสธอ้างว่าจะให้เงินเพื่อไม่ต้องดำเนินคดีแก่กันและเพื่อจะไม่ต้องรังวัดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบตามข้อกล่าวอ้างดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงจะซื้อที่ดินของโจทก์ ศาลจึงบังคับขับไล่จำเลยตามโจทก์ขอไม่ได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องเรียกเงินตามสัญญา.