คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือร้องขอคืนของกลางตั้งแต่ชั้น สอบสวนเพราะพนักงานสอบสวนใช้ เวลาสอบสวนเพียงประมาณ1 เดือน มิใช่เวลายาวนานจนถึง กับจะฟังเป็นข้อพิรุธของผู้ร้องส่วนการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ ของกลางภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบนั้นก็หาใช่เรื่องผิดปกติไม่เพราะศาลชั้นต้นมิได้สั่งริบรถยนต์ ของกลาง ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางที่มีผู้เช่าซื้อไปผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ คันดังกล่าวให้เช่าซื้อช่วงไปอีกต่อหนึ่ง แม้ตามสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้าง ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้อง ชำระค่าเช่าซื้ออยู่ตลอด ไปจนกว่าจะครบไม่ว่ารถยนต์ ของกลางจะถูก ศาลสั่งริบหรือไม่ก็ตาม แต่ ปรากฏตาม สัญญาเช่าซื้อช่วงว่าผู้เช่าซื้อช่วงยังต้อง ชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีกหลายงวด การที่ผู้ร้องซึ่ง เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ ของกลางในคดีนี้จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องโดยตรง เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องกับผู้เช่าซื้อมีกิจการเกี่ยวข้องกันหรือมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ พฤติการณ์ยังถือ ไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยและไม่เป็นการใช้ สิทธิโดย ไม่สุจริต.

ย่อยาว

คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน ส่วนคำขอให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางนั้น ไม่มีเหตุสมควรให้ริบ จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้ โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในริบรถยนต์บรรทุกของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันของกลางในคดีนี้ ผู้ร้องให้บริษัทศรีพูนทรัพย์กลกิจ จำกัด เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไป และนางสาวสุรี แซ่เตียว เป็นผู้เช่าซื้อช่วงรถยนต์นั้นต่อจากบริษัทศรีพูนทรัพย์กลกิจ จำกัด ในวันเกิดเหตุจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถของนางสาวสุรี ได้นำรถยนต์ของกลางไปกระทำผิด โดยผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วยแต่อย่างใด ขอให้มีคำสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า นับแต่จำเลยถูกจับจนถึงวันที่จำเลยถูกฟ้องเป็นเวลา 1 เดือนนั้น ผู้ร้องไม่เคยแสดงตัวต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบของกลางแล้ว จึงแสดงให้เป็นว่า ผู้ร้องมิได้เป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดและใช้สิทธิร้องขอคืนของกลางคดีนี้โดยไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางให้แก่บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติกตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบรถยนต์คันดังกล่าวบริษัทศรีพูนทรัพย์กลกิจ จำกัด เช่าซื้อไปจากผู้ร้องโดยนางสาวสุรี แซ่เตียว ได้เช่าซื้อต่อจากบริษัทศรีพูนทรัพย์กลกิจจำกัด อีกต่อหนึ่ง ขณะเกิดเหตุจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของนางสาวสุรีขับรถยนต์คันดังกล่าวไปกระทำความผิด บริษัทศรีพูนทรัพย์กลกิจ จำกัดและนางสาวสุรียังส่งค่าเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไม่ครบ ปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.5
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยถูกจับแล้ว ผู้ร้องก็ได้รับเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ของกลางตลอดเวลาโดยไม่ได้บอกเลิกสัญญาจนกระทั่งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางแทน เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อเพราะไม่ว่ารถยนต์ของกลางจะถูกศาลสั่งริบหรือไม่ผู้เช่าซื้อก็ยังมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อต่อไปจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เห็นว่า การที่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือร้องขอคืนรถยนต์ของกลางตั้งแต่ชั้นสอบสวนก็ได้ความว่าพนักงานสอบสวนใช้เวลาสอบสวนในคดีเดิมเพียงประมาณ 1 เดือนซึ่งมิใช่เป็นเวลายาวนานจนถึงกับจะฟังเป็นข้อพิรุธของผู้ร้องส่วนการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบนั้นก็หาใช่เป็นเรื่องผิดปกติไม่ เพราะคดีนี้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งริบรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องจึงไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องขอคืนแต่อย่างใด อนึ่ง แม้ตามสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้าง ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้ออยู่ตลอดไปจนกว่าจะครบไม่ว่ารถยนต์ของกลางจะถูกศาลสั่งริบหรือไม่ก็ตาม แต่ปรากกตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.5 ฉบับผู้เช่าซื้อช่วงว่า ผู้เช่าซื้อยังจะต้องชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีกหลายงวดคิดเป็นเงินหลายแสนบาท การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางที่แท้จริงยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางคดีนี้จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องโดยตรง ในเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องกับผู้เช่าซื้อมีกิจการเกี่ยวข้องกันหรือมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ พฤติการณ์ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share