คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2507/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นตามฟ้องตามคำสั่งซื้อของจำเลย และโจทก์ออกเงินค่าหุ้นแทนจำเลยไป แม้จะไม่มีสัญญาซื้อขายหุ้นฉบับตลาดหลักทรัพย์มาเป็นพยาน จำเลยก็มีหน้าที่ตามคำขอเปิดบัญชีเดินสะพัดเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ที่จะต้องชำระเงินคืนให้โจทก์ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์กับโจทก์ โดยให้โจทก์เป็นตัวแทนนายหน้าของจำเลยในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในวงเงิน100,000 บาท โดยจำเลยจะนำเงินสดหรือหลักทรัพย์มาวางในอัตราร้อยละ 30 ของวงเงินที่เปิดบัญชีไว้ เมื่อจำเลยสั่งซื้อหุ้นโจทก์จะออกเงินทดรองไปก่อน และจำเลยยอมให้โจทก์ยึดหุ้นที่จำเลยสั่งซื้อไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ ซึ่งจะมีการชำระบัญชีกันต่อเมื่อจำเลยสั่งขายหลักทรัพย์ แล้วนำเงินสุทธิไปหักกลบลบหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด หากจำเลยมีหนี้ค้างเท่าใด จำเลยจะชดใช้ให้โจทก์ การซื้อขายหุ้นแต่ละครั้ง จำเลยต้องเสียค่านายหน้าร้อยละ 0.5 ของจำนวนเงินที่ซื้อหรือขายแต่ละคราวตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจำเลยยินยอมเสียดอกเบี้ยในยอดหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดในอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปีให้โจทก์ด้วยและยินยอมให้เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นได้ตามที่โจทก์เห็นสมควรตามภาวะของตลาดที่เปลี่ยนแปลงเป็นคราว ๆ ไป เพื่อให้เป็นไปตามข้อสัญญาข้างต้น จำเลยได้นำเงินมาวางประกันไว้กับโจทก์ 500,000 บาทแล้วสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายครั้งหลายคราวซึ่งโจทก์ได้ออกเงินทดรองแทนจำเลยไปแล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น1,146,700 บาท จำเลยต้องชำระค่านายหน้าให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 0.5เป็นเงิน 5,733.50 บาท จึงเป็นเงินที่จำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์รวม 1,152,433.50 บาท โจทก์ได้นำหุ้นที่จำเลยสั่งซื้อและหรือมอบให้โจทก์ไว้เป็นประกันหนี้ดังกล่าวแล้วออกขายทอดตลาดได้เงินทั้งสิ้น 364,173.20 บาท เมื่อรวมกับเงินปันผลจากหุ้นที่จำเลยสั่งซื้อไว้ และเงินที่จำเลยวางประกันอีก 500,000 บาท เป็นเงินของจำเลยที่จะนำมาหักกลบลบหนี้รวมทั้งสิ้น 887,249.01 บาทเนื่องจากจำเลยจะต้องชำระดอกเบี้ยในต้นเงินที่ค้างชำระคิดถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2523 เป็นเงิน 116,866.83 บาท ให้โจทก์ด้วยจำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์รวมเป็นเงิน 1,269,300.33 บาท และเมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว จำเลยคงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ ณ วันที่24 กรกฎาคม 2523 เพิ่มอีก 382,051.32 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวนนั้นนับแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2523 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน163,877.12 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ทั้งสิ้น545,928.44 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนนั้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 382,051.32 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ จำเลยให้การว่าการกระทำตามฟ้องอยู่นอกเหนือวัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่จะกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 กล่าวคือสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นเรื่องการเป็นตัวแทนสาธารณะในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่สภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าว การกระทำตามฟ้องเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5(8) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 6 ข้อ 9 ทวิ ข้อ 11 และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน กล่าวคือหลอกลวงนำเงินที่ลูกค้ามอบให้สำหรับซื้อหุ้นมาให้ลูกค้ากู้เพื่อเอาดอกเบี้ยจากลูกค้า และหลอกลวงว่ามีหุ้นตามที่ซื้อ ความจริงไม่มีนอกจากนี้จำเลยมิได้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องทั้งโจทก์มิได้ทำการซื้อหุ้น ขายหุ้น ตามที่ปรากฏให้แก่จำเลยการคิดบัญชีหนี้สินและการหักทอนบัญชีไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงและสัญญา กล่าวคือ โจทก์ลงบัญชีว่าจำเลยเป็นหนี้เกินไปกว่าความเป็นจริงถึงร้อยละ 30 ของราคาหุ้น นอกจากนี้โจทก์มิได้นำเงินค่าขายหุ้นมาหักทอนบัญชี โดยหลอกว่ายังไม่ได้ขาย อย่างไรก็ตามการกระทำตามฟ้องเป็นพนันขันต่อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 853 ไม่ก่อให้เกิดหนี้ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 545,928.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 382,051.32 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จให้โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีหลักฐานการซื้อขายตามแบบพิมพ์ของตลาดหลักทรัพย์เก็บไว้ที่ตลาดหลักทรัพย์จำนวน 1 ฉบับแต่โจทก์มิได้นำสืบอ้างมาแสดง หุ้นที่โจทก์อ้างว่าซื้อแทนจำเลยโจทก์ก็ขายไปก่อนแล้วมิใช่ขายทอดตลาด ดังที่โจทก์กล่าวอ้างซึ่งตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์โจทก์กระทำเช่นนั้นไม่ได้กรณีจึงไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ซื้อขายหุ้นแทนจำเลยดังฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2521 จำเลยขอเปิดบัญชีเดินสะพัดเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์กับโจทก์และมีหนังสือแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งมีสาระสำคัญว่า โจทก์ออกเงินค่าหุ้นในการซื้อหุ้นแทนจำเลยไปเท่าใดจำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในเงินจำนวนนั้น ทั้งยอมชำระค่านายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ให้โจทก์ด้วย และเมื่อคิดบัญชีกันแล้วจำเลยค้างชำระหนี้เท่าใด จำเลยจะชำระให้โจทก์ทั้งสิ้น จำเลยได้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ต่อมาโจทก์ได้ซื้อหุ้นจำนวนตามฟ้อง ครั้นเรียกให้จำเลยชำระค่าหุ้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยตลอดจนค่านายหน้าตามที่ตกลงกันจำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงนำหุ้นจำนวนตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินมาหักใช้หนี้ แล้วนำคดีมาฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ที่คงเหลือ คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาในปัญหาที่ว่าโจทก์ซื้อหุ้นจำนวนตามฟ้องให้จำเลยหรือไม่ ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2521 ถึงวันที่ 17 มกราคม 2522 จำเลยได้มีคำสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นตามที่ปรากฎในฟ้องให้จำเลย ทั้งนี้ปรากฏตามใบสั่งซื้อหลักทรัพย์ซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งซื้อเอกสารหมาย จ.8 12 15 19 22 25 29 32 และ 36 ซึ่งโจทก์ได้จัดการซื้อให้แล้ว ปรากฏตามสัญญาซื้อขายตามแบบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยฉบับผู้ซื้อเอกสารหมาย จ.9 13 16 20 23 26 27 30 33และ 37 และได้ชำระเงินค่าหุ้นให้ผู้ขายกับรับใบหุ้นมาเพื่อส่งมอบให้จำเลย แต่เนื่องจากจำเลยไม่ชำระเงินค่าซื้อหุ้น ค่านายหน้าและค่าดอกเบี้ยให้โจทก์ตามข้อตกลง โจทก์จึงนำหุ้นนั้นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ที่จำเลยค้างชำระแล้วนำหนี้ส่วนที่เหลือมาฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเป็นคดีนี้
จำเลยนำสืบว่า จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นให้ ซึ่งโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าได้จัดการซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลยแล้วและเรียกเก็บดอกเบี้ยจากจำเลย ซึ่งจำเลยก็จ่ายให้ แต่เมื่อจำเลยขอดูใบหุ้น โจทก์ว่าต้องชำระค่าหุ้นเสียก่อน จำเลยจึงไปที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเมื่อตรวจดูทะเบียนผู้ถือหุ้นที่นั่น ปรากฏว่าหุ้นที่จำเลยสั่งซื้อไว้โจทก์ได้ขายไปหมดแล้ว
พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว เห็นว่า นอกจากโจทก์จะมีใบสั่งซื้อหลักทรัพย์ซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งซื้อตามเอกสารที่โจทก์นำสืบ ซึ่งโจทก์จัดการซื้อให้ตามสัญญาซื้อขายฉบับผู้ซื้อที่กล่าวข้างต้นเป็นพยานแล้ว จำเลยยังเบิกความรับรองว่าจำเลยเป็นผู้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นให้ แต่หุ้นที่จำเลยสั่งซื้อไว้โจทก์ขายไปหมดแล้ว ดังนี้ แม้จะไม่มีสัญญาซื้อขายหุ้นฉบับของตลาดหลักทรัพย์มาเป็นพยานดังที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงก็ฟังได้ตามฟ้องโจทก์ว่าหุ้นตามฟ้องเป็นหุ้นที่โจทก์ซื้อไว้ตามคำสั่งของจำเลย และโจทก์ออกเงินค่าหุ้นแทนจำเลยไปจำเลยจึงมีหน้าที่ตามคำขอเปิดบัญชีเดินสะพัดเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ที่จะต้องชำระเงินคืนให้โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share