แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตาม แผนผังและแบบแปลนที่จำเลยได้ รับอนุญาตให้ซ่อมแซมและ ดัดแปลงอาคารพิพาทได้ ระบุให้ใช้ โครงสร้างเดิม ซึ่ง เป็นไม้แต่ จำเลยกลับรื้ออาคารหลังเดิม ออกทั้งหมด แล้วก่อสร้างอาคารใหม่ ขึ้นทั้งหลังโดย ใช้ โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาบ้านก็ก่อสร้างขึ้นใหม่ทุกต้น พร้อมกับขยาย ความกว้างของตัว อาคารออกไปอีก เป็นการก่อสร้างผิดไปจากแผนผังและแบบแปลนที่ได้ รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯ มาตรา 31และเป็นการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นตาม แบบแปลนที่จำเลยให้วิศวกรเขียนขึ้นใหม่และมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 21 ด้วย นอกจากนั้น แนวอาคารหลังใหม่ด้าน ทิศเหนือห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะเพียง 1.35 เมตรและห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะด้าน ทิศใต้เพียง 1.25 เมตรไม่ถึงด้าน ละ 3 เมตร เป็นการขัดต่อ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารฯ ข้อ 72 วรรคแรก ที่ดินของจำเลยมีเนื้อที่ไม่พอที่จะขออนุญาตก่อสร้างอาคารใหม่ได้ ทั้งอาคารที่จำเลยก่อสร้างขึ้นใหม่เป็นอาคารที่พักอาศัยไม่มีที่ว่างเหลือ 30 ใน100 ส่วนของพื้นที่ เป็นการขัดต่อ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวข้อ 76 อีก อาคารของจำเลยจึงไม่สามารถแก้ไขให้ถูกต้อง ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวได้ ดังนี้ การที่ เจ้าพนักงาน ท้องถิ่นมีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าว แม้ อาคารนั้นมีความมั่นคงแข็งแรงก็ถือ ได้ ว่ามีเหตุผลสมควรที่จะต้อง รื้อถอน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินและอาคาร 2 ชั้นเลขที่ 42 ตรอกวัดราชนัดดา แขวงบวรนิเวศน์เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 เป็นสามีจำเลยที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมายมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและอาคารดังกล่าว จำเลยที่ 1ทำการรื้อโครงสร้างไม้ของอาคารเดิมออก แล้วก่อสร้างเป็นอาคารโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กขึ้นใหม่ผิดจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และฝ่าฝืนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารเลขที่ดังกล่าว หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอน ขอให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ทำการซ่อมแซมและดัดแปลงอาคารพิพาทจริง แต่เมื่อจำเลยทำการซ่อมแซมและดัดแปลง โดยรื้อถอนส่วนที่ต้องการซ่อมตลอดจนขุดดินลึกลงไปถึงฐานรากเพื่อตรวจสอบความมั่นคงของฐานรากทำให้ไม่มั่นใจในฐานรากเดิมว่าจะสามารถรับน้ำหนักตัวอาคารได้ ส่วนวัสดุที่ใช้ไม้ก่อสร้างเดิมส่วนใหญ่มีรอยปลวกกัดกิน และหมดอายุการใช้งาน จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าสามารถทำการซ่อมแซมดัดแปลงอาคารได้ จำเลยจึงได้ทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดความมั่นคงแข็งแรงในตัวอาคาร เพราะใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยเอง แม้จำเลยซ่อมแซมดัดแปลงผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ก็มิได้ผิดกฎหมายควบคุมอาคารและไม่เป็นการขัดต่อข้อบัญญัติใด ๆ ทั้งสิ้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก เลขที่ 42 ตรอกวัดราชนัดดา แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนครกรุงเทพมหานคร ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนอาคารดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนได้โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินพร้อมอาคารเลขที่ 42 ตรอกวัดราชนัดดา แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2524จำเลยที่ 1 ยื่นหนังสือขออนุญาตซ่อมแซมและดัดแปลงอาคารดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.2 พร้อมกับแนบแผนผังและแบบแปลนซ่อมแซมดัดแปลงตามเอกสารหมาย จ.4 กับได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ทำการซ่อมแซมและดัดแปลงได้ตามเอกสารหมาย จ.3 โดยอาคารดังกล่าวโครงสร้างเดิมเป็นไม้ทั้งหลัง หลังคามุงสังกะสี พื้นชั้นล่างเป็นคอนกรีตจำเลยขอซ่อมแซมดัดแปลงโดยใช้โครงสร้างเดิม เปลี่ยนผนังชั้นล่างจากเดิมก่ออิฐฉาบปูน 2 ด้านเรียบต่อด้วยผนังไม้ยาง ไม้เคร่าตั้งเป็นผนังก่ออิฐโปร่ง เอส.บี.พี. ฉาบปูนเรียบ 2 ด้าน ชั้นบนจากเดิมผนังไม้ยาง ไม้เคร่า เปลี่ยนเป็นผนังยิปซัมบอร์ดตีกรุ 2 ด้านเคร่าไม้ และเปลี่ยนหลังคาเดิมซึ่งมุงด้วยสังกะสีเป็นมุงด้วยกระเบื้องโดยใช้โครงสร้างเดิมกับตอกเสาเข็มหกเหลี่ยมกลวง 0.15 เมตรตามแนวคานทุกระยะ 1.50 เมตร แต่ในการดำเนินการดังกล่าว จำเลยได้รื้ออาคารหลังเดิมออกทั้งหมด แล้วก่อสร้างใหม่ทั้งหลังโดยโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กและขยายความกว้างของตัวอาคารจากเดิมซึ่งกว้าง5.20 เมตร เป็น 6.50 เมตร ตามแบบแปลนเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงมีว่า อาคารที่จำเลยก่อสร้างขึ้นนี้เป็นการซ่อมแซมและดัดแปลงอาคารหลังเดิม หรือว่าเป็นการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นอันจะต้องถูกรื้อถอนหรือไม่ เห็นว่าตามแผนผังและแบบแปลนเอกสารหมาย จ.4 ที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ซ่อมแซมและดัดแปลงอาคารพิพาทนั้นได้ระบุใช้โครงสร้างเดิมซึ่งเป็นไม้ แต่ในการดำเนินการ จำเลยกลับรื้ออาคารหลังเดิมออกทั้งหมดแล้วก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่ทั้งหลัง โดยใช้โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาบ้านก็ก่อสร้างขึ้นใหม่ทุกต้นพร้อมกับขยายความกว้างของตัวอาคารออกไปอีก จึงเป็นการก่อสร้างผิดไปจากแผนผังและแบบแปลนตามเอกสารหมาย จ.4 ที่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31 และเป็นการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นตามแบบแปลนเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ซึ่งเป็นแบบแปลนที่จำเลยให้วิศวกรเขียนขึ้นใหม่ และมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 21 อีกด้วย และยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่จำเลยใช้ก่อสร้างอาคารนั้น มีความกว้าง 7เมตร ยาว 11.10 เมตร ด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ของที่ดินดังกล่าวติดทางสาธารณะซึ่งกว้าง 1.90 เมตร และ 1.50 เมตร ตามลำดับกับตามแผนผังและแบบแปลนเอกสารหมาย จ.4 ปรากฏว่าแนวอาคารด้านทิศเหนือและทิศใต้ห่างจากริมทางสาธารณะเพียง 0.40 เมตร และ 0.50 เมตรตามลำดับ แนวอาคารด้านทิศเหนือจึงห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะเพียง 1.35 เมตร และห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะด้านทิศใต้เพียง1.25 เมตร ไม่ถึงด้านละ 3 เมตร เป็นการขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 72วรรคแรก และถ้าหากจะให้แนวอาคารร่นระยะห่างจากศูนย์กลางทางสาธารณะด้านทิศเหนือกับด้านทิศใต้เข้ามาให้ได้ด้านละ 3 เมตร ที่ดินของจำเลยจะเหลือความยาวสำหรับก่อสร้างอาคารเพียง 6.80 เมตรเท่านั้นและเรื่องนี้ก็ได้ความจากคำเบิกความของนายสุทัศน์ ชมดีผู้ช่วยหัวหน้าเขตพระนครพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 ว่า ที่ดินของจำเลยมีเนื้อที่ไม่พอที่จะขออนุญาตก่อสร้างอาคารใหม่ได้ ทั้งอาคารที่จำเลยก่อสร้างขึ้นใหม่นี้เป็นอาคารที่พักอาศัยไม่มีที่ว่างเหลือ30 ใน 100 ส่วนของพื้นที่ เป็นการขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวข้อ 76 อีก อาคารของจำเลยจึงไม่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวได้ การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าว แม้อาคารดังกล่าวจะมีความมั่นคงแข็งแรงก็ถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรที่จะต้องรื้อถอน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวนั้นชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.