คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2303/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์จองซื้อทาวน์เฮาส์2หลังจากห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ราคาหลังละ 3,000,000 บาท เมื่อเดือนเมษายน 2522 อ้างว่าจองเพื่ออยู่อาศัย 1 หลัง และสำหรับ ท.1 หลัง ต่อมาในเดือนกันยายน 2522โจทก์ชำระเงิน 3,000,000 บาท และขอยกเลิกการจองให้ ท. และได้ตบแต่งภายในทาวน์เฮาส์ หลังที่โจทก์จะอยู่เองสิ้นเงินไป 900,000บาท ต่อมาเดือนมีนาคม 2523 โจทก์ขายให้ อ. ในราคา 4,000,000 บาทโดยให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.โอนกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮาส์ และที่ดินให้ อ.โดยตรงแต่อ. เป็นคนต่างด้าวไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ จึงให้บริษัท ย.จำกัดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนค.ผู้จัดการบริษัท ย. จำกัด เป็นผู้แจ้งให้โจทก์ตบแต่งภายในทาวน์เฮาส์แสดงว่าโจทก์มิได้ตบแต่งภายในทาวน์เฮาส์ โดยมีเจตนาจะอยู่อาศัยเอง แต่ตบแต่งหลังจากที่โจทก์ตกลงขายให้ อ. แล้วเหตุที่ขายโจทก์อ้างว่าสภาพแวดล้อมของทาวน์เฮาส์ เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะใช้เป็นที่ประกอบการค้าและธุรกิจไม่เหมาะใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งความจริงโจทก์ซื้อมาในเดือนกันยายน 2522 อ้างว่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย แต่ในเดือนมีนาคม 2523 กลับอ้างว่าไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยซึ่งช่วงเวลาผ่านไปเพียง3-4 เดือน ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วถึงเพียงนั้น ข้อที่โจทก์อ้างว่าจองให้ ท.1หลังไม่ปรากฏว่าท. ได้ติดต่อกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.ทั้งเมื่อโจทก์บอกเลิกการจองให้ท.ก็ไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้ปรึกษาหารือกับ ท. จึงเป็นการจองเพื่อโจทก์เอง พฤติการณ์ดังกล่าวโจทก์ซื้อทาวน์เฮาส์ พิพาทไว้เพื่อจะขายต่อเอากำไร หาใช่ซื้อไว้อยู่อาศัยเองไม่ การที่โจทก์ให้บริษัทผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮาส์และที่ดินให้แก่บริษัทย.จำกัด โดยโจทก์ได้รับค่าตอบแทนจาก อ. แม้มิได้ทำสัญญาซื้อขายก็มีผลอย่างเดียวกับโจทก์ขายทาวน์เฮาส์นั่นเองมิใช่เป็นการขายสิทธ์ในการซื้อทาวน์เฮาส์ ถือได้ว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ต้องเสียภาษีการค้า ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 77,78 ประกอบด้วยบัญชีอัตราการค้าประเภทการค้า 11 ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี ศาลมีอำนาจสั่งได้แม้คู่ความไม่ได้ขอ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้โจทก์ชำระเป็นเงิน 596,999.95 บาท เงินเพิ่ม 119,399.99บาท รวมเป็นเงิน 716,399.95 บาท โดยอ้างว่าโจทก์มีรายได้จากเงินเดือนและการขายทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดินเป็นเงินได้พึงประเมิน4,420,000 บาท กับภาษีการค้าอีกจำนวน 140,000 บาท เบี้ยปรับ 280,800บาท เงินเพิ่ม 34,650 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 45,545 บาท รวมเป็นเงิน 500,995 บาท โดยอ้างว่าโจทก์มีรายได้จากการขายทาวน์เฮาส์และที่ดินจำนวน 4,000,000 บาท โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบด้วยกฎหมาย แต่ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่มให้เหลือเพียง 453,287.96 บาท และภาษีการค้า เบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาลเหลือเพียง 244,779 บาท โจทก์เห็นว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ถูกต้อง เนื่องจากเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่มนั้น เป็นเงินได้จากการโอนขายทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดิน 4,000,000 บาท ไม่เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 40(8) แต่เป็นเงินที่โจทก์ได้รับจากผู้รับโอนสิทธิการซื้อทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดินเป็นค่าที่โจทก์ชำระค่าจองซื้อแก่เจ้าของเป็นเงิน 3,000,000 บาทและค่าตบแต่งภายในอีก 1,000,000 บาท การโอนสิทธิไม่ได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และไม่ต้องแสดงรายการเพื่อขอยกเว้นภาษีเงินได้ไว้ในแบบ ภ.ง.ด.9 ส่วนภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาลมิใช่เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นการโอนสิทธิการซื้อทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดิน โดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรโจทก์จึงไม่เป็นผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77, 78 วรรคแรกจึงไม่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนการค้า เสียภาษีการค้า เบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาล ขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล
จำเลยทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ซื้อทาวน์เฮาส์เพื่อเก็งกำไร มิใช่เพื่ออยู่อาศัย เพราะโจทก์ซื้อมาได้ 5 เดือนก็ขายไปโจทก์จึงมีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ได้แจ้งไว้ในภ.ง.ด.9 จึงไม่ได้รับการยกเว้นภาษีตาม มาตรา 42(9) แห่งประมวลรัษฎากร นอกจากนี้โจทก์ยังต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล เพราะโจทก์ขายทาวน์เฮาส์เพื่อเก็งกำไรเป็นการมุ่งค้าเข้าประเภทการค้าอสังหาริมทรัพย์ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า11 แม้ไม่มีการโอนทางทะเบียนก็ต้องถือว่าเป็นการขาย การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่ตามพฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์
โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ แต่ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาเรื่องโจทก์จะต้องเสียภาษีการค้าหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อเดือนเมษายน 2522 โจทก์ได้จองซื้อทาวน์เฮาส์ 2 หลัง จากห้างหุ้นส่วนจำกัดสมชายอินเตอร์เนชั่นแนลก่อสร้างราคา 3,000,000บาท รวมเป็นเงิน 6,000,000 บาท ในเดือนกันยายน 2522 โจทก์ชำระเงินให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสมชายอินเตอร์เนชั่นแนลก่อสร้าง 3,000,000 บาทต่อมาต้นปี 2523 โจทก์ขอยกเลิกการจองทาวน์เฮาส์เสีย 1 หลัง คงเหลือ1 หลัง ซึ่งโจทก์ได้ทำการตบแต่งภายในเรียบร้อย ต่อมาเดือนมีนาคม2523 โจทก์ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสมชายอินเตอร์เนชั่นแนลก่อสร้างโอนกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮาส์และที่ดินให้นางสาวอีน่าร์ เยอร์เกนเซ่นโดยตรง และให้นางสาวอีน่าร์ ชำระเงินแก่โจทก์ 4,000,000 บาท แต่นางสาวอีน่าร์เป็นคนต่างด้าวไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ จึงให้บริษัทเยอร์เกนเซ่น อินเวสเม้นท์ แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์เบิกความว่า โจทก์จองทาวน์เฮาส์ดังกล่าวเพื่อทำเป็นที่อยู่อาศัย โดยจองสำหรับตนเอง 1 หลัง และสำหรับเพื่อนชื่อนายเทสอีก 1 หลัง และหลังจากโจทก์ได้ชำระเงิน 3,000,000 บาทให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสมชายอินเตอร์เนชั่นแนลก่อสร้างในเดือนกันยายน 2522 ซึ่งการก่อสร้างทาวน์เฮาส์เกือบจะเสร็จแล้ว โจทก์ก็ได้ซื้อวัสดุและจ้างคนงานมาทำการตบแต่งภายในทาวน์เฮาส์ของโจทก์ที่จะอยู่อาศัยสิ้นเงินไป 900,000 บาท ขณะที่โอนสิทธิการซื้อให้นางสาวอีน่าร์การตบแต่งภายในเกือบจะเสร็จแล้ว ระยะตั้งแต่เดือนกันยายน 2522 จนถึงเดือนมีนาคม 2523 นายสมชายไม่สามารถโอนทาวน์เฮาส์ให้แก่โจทก์ ที่โจทก์โอนสิทธิการซื้อให้นางสาวอีน่าร์ เนื่องจากในต้นปี 2523 โจทก์เห็นว่าทาวน์เฮาส์พิพาทมีลักษณะเป็นที่ประกอบการค้าและธุรกิจ มิใช่เป็นที่อยู่อาศัย และนายสมชายได้นำที่ดินซึ่งเป็นที่จอดรถบริเวณทาวน์เฮาส์ไปจำนองไว้กับธนาคาร มิได้โอนให้แก่ผู้เป็นเจ้าของทาวน์เฮาส์ ประกอบกับนางสาวอีน่าร์ไม่มีที่พักอาศัย โจทก์จึงโอนสิทธิการซื้อให้ไป ตามคำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวที่อ้างว่า โจทก์จองทาวน์เฮาส์สำหรับตัวโจทก์เอง 1 หลัง และสำหรับนายเทส เพื่อนของโจทก์อีก 1 หลัง คงมีแต่เพียงคำเบิกความของโจทก์ปากเดียวลอย ๆ ทั้งไม่ปรากฏว่านายเทสได้เคยมาติดต่อกับห้างหุ้นส่วนจำกัดสมชายอินเตอร์เนชั่นแนลก่อสร้าง และเมื่อโจทก์ขอยกเลิกการจองทาวน์เฮาส์ 1 หลัง คือหลังที่อ้างว่าจองไว้สำหรับนายเทสก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ปรึกษาหารือกับนายเทสอย่างใด พฤติการณ์ดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์จองทาวน์เฮาส์ไว้สำหรับนายเทสด้วย กรณีเชื่อได้ว่าโจทก์ได้จองทาวน์เฮาส์ทั้ง 2 หลังไว้เพื่อประโยชน์ของโจทก์เอง โจทก์เบิกความว่าได้ขอกู้เงินจากบริษัทวอลเลย์ไทยแลนด์ จำกัดด้วย แสดงว่าโจทก์มิใช่เป็นผู้มีเงินมากมายที่จะซื้อทาวน์เฮาส์ทั้ง2 หลัง สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของโจทก์ ที่โจทก์เบิกความว่าได้ทำการตบแต่งภายในทาวน์เฮาส์หลังหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยเองแต่ต้องโอนให้แก่นางสาวอีน่าร์นั้น นายเอนก ศรีสนิท พยานโจทก์กลับเบิกความว่า ในช่วงที่โจทก์ตกลงซื้อขายทาวน์เฮาส์ให้นางสาวอีน่าร์นั้น ยังไม่มีการตบแต่งภายใน และนายคารร์ จอห์น ซีคูนผู้จัดการบริษัทเยอร์เกนเซ่น อินเวสเม้นท์ แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัดซึ่งเป็นบริษัทผู้รับโอนแทนนางสาวอีน่าร์ก็เคยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ไว้ว่า ในการตกลงซื้อขายดังกล่าว นายคารร์เป็นผู้แจ้งให้โจทก์ตบแต่งภายในทาวน์เฮาส์ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.19ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ตบแต่งภายในแล้วขณะที่มีการขายทาวน์เฮาส์ให้นางสาวอีน่าร์ โจทก์เบิกความถึงเหตุผลการขายทาวน์เฮาส์อีกข้อหนึ่งว่า นายสมชายหุ้นส่วนผู้จัดการห้างผู้ทำการก่อสร้างทาวน์เฮาส์ ได้นำที่ดินทางเข้าและที่จอดรถไปจำนองไว้กับธนาคารแต่นายสมชายพยานโจทก์เบิกความว่า ถนนที่เชื่อมจากถนนวิทยุไปสู่่ทาวน์เฮาส์เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์รวมของผู้ซื้อทุกคน มีที่จอดรถส่วนตัวและมีลานจอดรถสำหรับผู้มาติดต่อ เนื้อที่ประมาณ 60 ตารางวาจึงฟังไม่ได้ตามที่โจทก์อ้างเช่นกัน สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งโจทก์เบิกความว่า สภาพแวดล้อมของทาวน์เฮาส์เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะใช้เป็นที่ประกอบการค้าและธุรกิจไม่เหมาะจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยปรากฏว่าโจทก์ชำระเงินค่าทาวน์เฮาส์ 3,000,000 บาท ในเดือนเมษายน2522 โดยอ้างว่าเพื่อจะอยู่อาศัยเอง แต่ครั้นต้นปี 2523 ซึ่งเป็นเวลาห่างกันเพียง 3-4 เดือน โจทก์กลับเห็นว่าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมาะสำหรับที่จะใช้อยู่อาศัย เมื่อคำนึงถึงว่าโจทก์เป็นนักธุรกิจ โดยเฉพาะเป็นผู้ช่วยผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดร่วมประสงค์ มีหน้าที่ควบคุมการให้เช่าอาคารสำนักงานและอาคารที่เก็บของซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนเพชรบุรี โจทก์ย่อมเข้าใจได้ดีตามสมควรว่า สภาพอาคารอย่างใดเหมาะจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือใช้เป็นที่ประกอบการค้าและธุรกิจ ดังนั้นข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อถือ จากข้อเท็จจริงและเหตุผลต่าง ๆ ดังวินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ซื้อทาวน์เฮาส์พิพาทไว้เพื่อจะขายต่อเอากำไรหาใช่ต้องการซื้อไว้อยู่อาศัยเองไม่ โจทก์ได้ชำระเงินค่าทาวน์เฮาส์ให้แก่ผู้ขายครบถ้วนแล้ว เพียงแต่ยังมิได้มีการจดทะเบียนโอนกันเท่านั้น ดังนั้น การที่โจทก์ให้บริษัทผู้ขายโอนทาวน์เฮาส์ให้แก่บริษัทเยอร์เกนเซ่น อินเวสเม้นท์ แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด โดยตรง โดยโจทก์ได้รับค่าตอบแทนจากนางสาวอีน่าร์ แม้มิได้ทำสัญญาซื้อขายก็มีความหมายเช่นเดียวกับการขายทาวน์เฮาส์นั่นเอง มิใช่เป็นการขายสิทธิในการซื้อทาวน์เฮาส์ตามที่โจทก์อ้างและถือได้ว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77, 78 ประกอบด้วยบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 11 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนในปัญหาที่ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมเป็นการชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 บัญญัติไว้เป็นหลักทั่วไปว่า ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี ดังนั้น ในการพิพากษาคดีแพ่ง ศาลย่อมมีหน้าที่ต้องวินิจฉัยสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามกฎหมายอยู่แล้ว คดีนี้แม้จำเลยจะมิได้มีคำขอเกี่ยวกับเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีหน้าที่ต้องสั่งเกี่ยวกับเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วย คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมจึงเป็นการชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share