แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยขับรถอยู่ช่องทางซ้ายได้ขับแซงรถของ ก. แล้วเลี้ยวขวามือจะเข้าซอยในขณะที่ถนนมีฝุ่นมาก ซึ่งก่อนจะเลี้ยวจำเลยไม่เห็นรถของ ก. ที่ตามมาข้างหลัง แต่จำเลยย่อมต้องทราบดีว่ามีรถขับตามหลังมา แม้จำเลยจะให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวาก็ไม่อาจทำให้รถที่ขับตามหลังมาเห็นสัญญาณไฟในระยะไกลได้ ถ้าหากจำเลยไม่ขับรถแซงขึ้นไป หรือขับรถแซงขึ้นไปแล้วรอให้รถที่ตามหลังมาแล่นเลยไปก่อนแล้วจึงค่อยเลี้ยวขวา เหตุรถชนกันก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขับรถโดยประมาท.
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษากับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 862/2530 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ คงขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 157.
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยและจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 862/2530 ของศาลชั้นต้นมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ปรับคนละ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยคดีนี้นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็นถนนดินลูกรัง พื้นถนนไม่เรียบและมีฝุ่นมากไม่มีเส้นแบ่งครึ่งกลางถนน และไม่มีเส้นแบ่งช่องเดินรถ ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน จำเลยขับรถมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางแยกเข้าซอยได้หักเลี้ยวขวา ส่วนรถของการไฟฟ้านครหลวงแล่นมาทิศทางเดียวกันได้ชนกับรถของจำเลย หลังเกิดเหตุแล้วรถยนต์ของการไฟฟ้านครหลวงจอดอยู่ในซอยวัดปากบึง ตัวรถได้รับความเสียหายบริเวณมุมหน้ารถด้านซ้ายและตัวถังด้านซ้าย ส่วนรถยนต์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับตกลงไปในคูน้ำข้างถนนด้านเดียวกับซอยเข้าวัดปากบึงได้รับความเสียหายบริเวณประตูหน้ารถด้านขวา มีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยขับรถโดยประมาทไม่ชะลอความเร็วของรถเพื่อให้รถทางตรงแล่นไปก่อน จึงมีความผิดตามฟ้องด้วยนั้น ได้ความจากจำเลยนี้ว่า วันเกิดเหตุจำเลยขับรถไปตามถนนร่มเกล้า เมื่อขับรถไปถึงคลองบึงขวางจำเลยได้ขับรถแซงรถของการไฟฟ้านครหลวงด้วยความเร็ว 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อจะถึงซอยวัดปากบึง จำเลยได้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาและชะลอความเร็วลงก่อนเลี้ยวขวาจำเลยมองกระจกหลังเห็นฝุ่นเต็มไปหมด ขณะกำลังจะเลี้ยวเข้าซอยวัดปากบึงมีรถของการไฟฟ้านครหลวงแล่นมาชนถูกด้านขวารถที่จำเลยขับ แต่นายสำราญ ลงสุวรรณ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 862/2530 ของศาลชั้นต้นซึ่งขับรถของการไฟฟ้านครหลวงเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุรถขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย แล่นอยู่ช่องทางซ้ายได้ขับแซงขึ้นไปแล้วจะเลี้ยวเข้าซอยทางด้านขวามือโดยไม่ได้ให้สัญญาณไฟเลี้ยว เป็นเหตุให้รถที่นายสำราญขับชนถูกด้านขวาตอนหน้าของรถองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ดังนี้ จะเห็นได้ว่า จำเลยได้ขับรถแซงรถของการไฟฟ้านครหลวงแล้วเลี้ยวขวามือจะเข้าซอยวัดปากบึง ในขณะที่ถนนมีฝุ่นมากซึ่งจำเลยก็รับว่าก่อนจะเลี้ยวไม่เห็นรถของการไฟฟ้านครหลวงที่ตามมาข้างหลัง แต่จำเลยย่อมต้องทราบดีว่ามีรถขับตามหลังมา แม้จำเลยจะให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวาก็ไม่อาจทำให้รถที่ขับตามหลังมาเห็นสัญญาณไฟในระยะไกลได้ ถ้าหากแซงขึ้นไป หรือขับรถแซงขึ้นไปแล้วรอให้รถที่ตามหลังมาแล่นเลยไปก่อนแล้วจึงค่อยเลี้ยวขวาเหตุรถชนกันก็จะไม่เกิดขึ้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขับรถโดยประมาทเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง…”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.