คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1916/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยใช้ เหล็กขูดชาฟท์ ซึ่ง เป็นวัตถุที่มีคมถึง สามคน มีความยาวถึง 6 นิ้ว ตั้งใจแทงผู้เสียหายตรง บริเวณหน้าอก ซึ่ง เป็นอวัยวะส่วนสำคัญ เมื่อแทงครั้งแรกถูก ผู้เสียหายใช้ มือปัด จำเลยก็เข้าแทงซ้ำอีกครั้ง พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเมื่อการกระทำของจำเลยไม่บรรลุผลโดย แทงไม่ถูก หน้าอกผู้เสียหายจำเลยจึงมีความผิดฐาน พยายามฆ่า.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ให้จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 80 ให้จำคุก1 ปี 4 เดือน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาจำเลยก่อนว่าจำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายหรือไม่พยานโจทก์ก็มีนายประนอม ไม่ทุกข์ผู้เสียหาย และนางแช่ม ไม่ทุกข์มารดาผู้เสียหาย เบิกความทำนองเดียวกันว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ10 นาฬิกา เมื่อผู้เสียหายกับนายเสริมซึ่งเป็นญาติที่เดินทางมาจากจังหวัดพัทลุงขึ้นมาบนบ้านแจ้งข่าวเรื่องผู้เสียหายถึงแก่ความตายให้นางแช่มทราบแล้ว จำเลยซึ่งนั่งดื่มสุรากับพวกอยู่ที่หน้าบ้านผู้เสียหายได้ตะโกนด่าผู้เสียหายว่า “เย็ดแม่ อย่าทำเฒ่า” (หมายความว่าอย่ามายุ่ง) นางแช่มบอกจำเลยว่าเป็นหลานมาติดประกาศงานศพจำเลยตะโกนเรียกผู้เสียหายให้ลงไป เมื่อผู้เสียหายเดินลงไปจำเลยคว้าขวดสุราตีศีรษะผู้เสียหาย มีผู้เข้าไปห้าม จำเลยซึ่งนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวจึงเดินกลับบ้าน ต่อมาอีก 2-3 นาที จำเลยนุ่งกางเกงขาสั้นสวมเสื้อปล่อยชายเดินกลับมาที่บ้านผู้เสียหายผู้เสียหายเข้าไปถามจำเลยถึงสาเหตุที่ใช้ขวดสุราตีผู้เสียหายจำเลยได้ชักเหล็กขูดชาฟท์ออกมาจากเอวแล้วแทงที่บริเวณหน้าอกผู้เสียหาย ผู้เสียหายใช้มือปัดจำเลยเข้าประชิดตัวเงื้อจะแทงซ้ำผู้เสียหายจึงใช้มือทั้งสองข้างจับเหล็กขูดชาฟท์ไว้ จำเลยพยายามจะดันเหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหาย เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากต่างเป็นประจักษ์พยานเบิกความได้สอดคล้องต้องกันอย่างมีเหตุผล นอกจากนี้ยังมีร้อยตำรวจตรีพิทักษ์ ประภาถะโร พนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันว่า พยานทั้งสองปากได้มาแจ้งความเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2531ระบุว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงอันเป็นการแจ้งความหลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ซึ่งไม่เนิ่นนานเกินไป จึงเชื่อว่าได้แจ้งความไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงโดยมิได้เสริมแต่งขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลย ทั้งจ่าสิบตำรวจภิญโญ บัวกิ่ง พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยก็เบิกความยืนยันว่า จำเลยให้การรับสารภาพในขณะถูกจับกุมตามบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.1 เมื่อรับฟังประกอบกันแล้วทำให้พยานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง ที่จำเลยนำสืบว่าผู้เสียหายเป็นฝ่ายชกต่อยจำเลยโดยอ้างว่าเป็นเพราะผู้เสียหายขอเงินจำเลยเพื่อซื้อสุราจำเลยไม่มี นางเคลื่อน นาพอ จึงหยิบเงินให้แทนแต่ผู้เสียหายไม่เอา จะเอาแต่เงินของจำเลยและด่าว่าจำเลยนั้น เป็นเรื่องที่ขัดต่อเหตุผล ทั้งจำเลยก็ไม่เคยไปแจ้งความว่าถูกผู้เสียหายทำร้ายร่างกายดังที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยอ้างว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญเกี่ยวกับวันที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ และที่เกี่ยวกับสถานที่อยู่ของผู้ใหญ่บ้านในขณะเกิดเหตุนั้น เห็นว่า ข้อแตกต่างเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงภายหลังเกิดเหตุอันเป็นคนละตอนกับขณะที่เกิดเหตุ ส่วนข้อแตกต่างอื่น ๆ ตามฎีกาจำเลยนอกจากนี้ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่เป็นผลความเท่านั้น ไม่มีผลทำให้พยานโจทก์มีน้ำหนักลดน้อยลงแต่ประการใด พยานจำเลยจึงไม่อาจรับฟังทักท้วงพยานโจทก์ได้คดีฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายจริง ตามที่โจทก์นำสืบ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาโจทก์มีว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะจำเลยใช้ขวดสุราตีศีรษะผู้เสียหาย จำเลยนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียว เมื่อจำเลยกลับไปบ้านได้ 2-3 นาที ต่อมาก็กลับมาที่บ้านผู้เสียหายโดยนุ่งกางเกงขาสั้นและใส่เสื้อปล่อยชาย พกเหล็กขูดชาฟท์ไว้ที่เอวด้านหน้าเมื่อผู้เสียหายเดินเข้ามาหา จำเลยก็ชักเหล็กขูดชาฟท์ซึ่งมีส่วนปลายแหลมยาวประมาณ 2 นิ้วออกมาจากเอวแล้วจ้วงแทงมาที่บริเวณหน้าอกผู้เสียหาย ผู้เสียหายใช้แขนขวาปัดเป็นเหตุให้แทงถูกข้อมือขวาของผู้เสียหาย จำเลยเข้าประชิดตัวผู้เสียหายและเงื้อเหล็กขูดชาฟท์จะแทงซ้ำอีกครั้ง ผู้เสียหายใช้มือทั้งสองข้างจับเหล็กขูดชาฟท์ไว้ จำเลยก็พยายามจะดันเหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายเห็นว่า เหล็กขูดชาฟท์เป็นวัตถุที่มีคมถึงสามคมและเฉพาะที่มีคมความยาว 6 นิ้ว ถือได้ว่าเป็นอาวุธร้ายแรง การที่จำเลยตั้งใจแทงผู้เสียหายตรงบริเวณหน้าอกซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญ เมื่อแทงครั้งแรกถูกผู้เสียหายใช้มือปัดจำเลยก็ได้เข้ามาแทงซ้ำอีกครั้งหนึ่งเช่นนี้ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำของจำเลยได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ ข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อการกระทำของจำเลยไม่บรรลุผลโดยแทงไม่ถูกหน้าอกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามที่โจทก์ฟ้อง…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share