คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1837/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ระบุอ้างพยานบุคคลไว้ตาม บัญชีพยานร่วม 3 ปากคือ ตัว จำเลยที่ 3 ต. และ พ. โดยระบุว่า พ. เป็นพยานหมาย การนัดสืบพยานนัดแรกจำเลยที่ 3 ก็ขอเลื่อนคดี นัดที่สองและที่สามก็คงนำพยานมาสืบเพียงครั้งละ 1 ปาก ทั้งที่ในนัดที่สองจำเลยที่ 3 สามารถจะขอให้ศาลหมายเรียก พ. มาสืบได้ ดังนี้การที่จำเลยที่ 3 เพิ่งขอหมายเรียกให้ พ. มาศาลในนัดที่สามก่อนวันนัดเพียง 6 วันแล้วอ้างว่าส่งหมายเรียกไม่ได้ ขอเลื่อนคดอีก อันเป็นการขัดต่อ คำรับรองของจำเลยที่ 3 ที่แถลงไว้นัดก่อนว่าถ้า พยานไม่มาศาลก็ให้ถือ ว่าไม่ติดใจสืบนั้นแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ดำเนิน กระบวนพิจารณาในลักษณะประวิงคดี จึงไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้จำเลยที่ 3 เลื่อนคดีอีก.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 82,243.24 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดีว่าไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว ให้นัดสืบพยานจำเลยที่ 3 นัดแรกในวันที่ 4 กันยายน 2530 ถึงวันนัดทนายจำเลยที่ 3 ขอเลื่อนเพราะตัวจำเลยที่ 3 ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยที่ 3 ให้วันที่ 1 ตุลาคม 2530 ถึงวันนัดจำเลยที่ 3 อ้างตัวเองเบิกความเป็นพยานได้ 1 ปากแล้วขอเลื่อนไปสืบพยานที่เหลืออีก 2 ปาก เพราะในวันนั้นพยานทั้ง 2 ปากดังกล่าวติดธุระมาศาลไม่ได้ พร้อมทั้งแถลงรับรองว่าหากนัดหน้าพยานทั้งสองไม่มาก็ให้ถือว่าไม่ติดใจสืบ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเมื่อจำเลยที่ 3 แถลงรับรองเช่นนั้นจึงอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานดังกล่าวในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2530 ถึงวันนัดจำเลยที่ 3นำพยานเข้าสืบอีก 1 ปาก แล้วแถลงว่ามีพยานมาศาลเพียงเท่านี้ส่วนพยานที่เหลืออีก 1 ปาก คือ นางพูนทรัพย์ เอี่ยมสำอางค์ ไม่มาทราบว่าไปต่างจังหวัด โจทก์แถลงว่า เมื่อนัดที่แล้วจำเลยที่ 3แถลงไว้แล้วว่า ถ้าพยานไม่มาก็ไม่ติดใจสืบ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งงดสืบพยานปากนี้ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานปากนี้ไม่เคยมาศาลเลย และคราวที่แล้วจำเลยที่ 3 ก็ยืนยันแน่นอนว่า ถ้าไม่มาศาลจะไม่ติดใจสืบ จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยที่ 3 ปากนี้แล้วนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2530 จำเลยที่ 3ยื่นคำแถลงเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2530 คัดค้านคำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้นดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 82,243.24บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า ที่ศาลล่างทั้งสองให้งดสืบพยานจำเลยที่ 3ปากนางพูนทรัพย์ เอี่ยมสำอางค์ นั้นชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 3 ได้ระบุอ้างพยานบุคคลไว้ตามบัญชีพยานลงวันที่ 17 เมษายน 2530 รวม 3 ปาก ตามลำดับดังนี้ คือจำเลยที่ 3อ้างตนเองเป็นพยาน นายโต๊ะเคง แซ่เอี้ย และนางพูนทรัพย์เอี่ยมสำอางค์ โดยระบุในบัญชีพยานดังกล่าว พยานสองปากแรกเป็นพยานนำ ส่วนปากที่ 3 คือนางพูนทรัพย์ เป็นพยานหมาย แต่ปรากฏว่าในวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 3 นัดแรก เมื่อวันที่ 4 กันยายน2530 และนัดที่สองเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2530 จำเลยที่ 3 มิได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานปากนางพูนทรัพย์ แต่อย่างใด จำเลยที่ 3เพิ่งขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานปากนี้ให้มาศาลในนัดที่สามเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2530 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 3ดำเนินกระบวนพิจารณาในลักษณะประวิงคดี โดยนัดแรกขอเลื่อนคดีนัดที่สองนำพยานมาสืบ 1 ปาก นัดที่สามก็นำมาสืบอีกเพียง 1 ปากซึ่งในนัดที่สองนั้นจำเลยที่ 3 ก็สามารถจะขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานปากนางพูนทรัพย์มาสืบได้ แต่จำเลยที่ 3 ก็มิได้ขอให้ออกหมายเรียกทั้ง ๆ ที่ได้ระบุไว้ในบัญชีพยานแต่แรกแล้วว่าเป็นพยานหมายการที่จำเลยที่ 3 เพิ่งขอหมายเรียกให้นางพูนทรัพย์มาศาลในนัดที่สามโดยมีคำขอเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2530 ก่อนวันนัดเพียง 6 วันแล้วอ้างว่าส่งหมายเรียกไม่ได้และขอเลื่อนคดีอีกอันเป็นการขัดต่อคำรับรองของจำเลยที่ 3 ที่ได้แถลงไว้ในนัดก่อนแล้วว่าถ้าพยานไม่มาก็ให้ถือว่าไม่ติดใจสืบเช่นนี้ จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้เลื่อนคดีอีก การที่ศาลล่างทั้งสองให้งดสืบนางพูนทรัพย์ เอี่ยมสำอางค์ พยานจำเลยที่ 3 จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share