แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
รถยนต์บรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย โจทก์ต้องเช่ารถยนต์บรรทุกอื่นมาใช้แทนในระหว่างซ่อม แม้โจทก์ยังมีรถยนต์บรรทุกอีก 2 คันมาใช้แทนกันได้ก็ไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะเช่ารถยนต์บรรทุกอื่นมาแทนรถยนต์บรรทุกคันที่ได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเช่ารถยนต์บรรทุกแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2526 เวลาประมาณ16.30 นาฬิกา ขณะที่นายมนูญ บุญเสถียร พนักงานขับรถของโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกของโจทก์หมายเลขทะเบียน 80-1412 ชุมพร บรรทุกกุ้งสดจากจังหวัดระนองตามเส้นทางถนนเพชรเกษมมุ่งหน้าไปยังจังหวัดชุมพรมาถึงระหว่างกิโลเมตรที่ 9 หมู่ที่ 1 ตำบลบางนอนอำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-5826 กรุงเทพมหานคร ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 สวนทางมาด้วยความประมาทด้วยความเร็วสูงชนรถยนต์บรรทุกของโจทก์ ผลแห่งการทำละเมิดของจำเลยที่ 1ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย รวมค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน691,243 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์รถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-5826 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 3เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารคันดังกล่าว ทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน691,243 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 17,281 บาทและนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-1412 ชุมพร จำเลยที่ 2มิได้เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์รถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน10-5826 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 มิได้ประมาท บริเวณที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งหักข้อศอกไปทางขวาและวกมาทางซ้ายและเป็นถนนแคบ รถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ 1 ขับมีขนาดกว้างและยาวมาก เมื่อจะต้องแล่นไปในทางที่โค้งจำเป็นต้องแล่นเข้าไปในช่องทางด้านขวาก่อนแล้วจึงจะสามารถหักรถเข้ามาในช่องทางของตนได้ จำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่มีรถอื่นจึงได้ขับรถเข้าไปในลักษณะดังกล่าว แต่นายมนูญ บุญเสถียรได้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลข 80-1412 ชุมพร แล่นสวนทางเข้ามาด้วยความเร็วสูงและปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันพุ่งเข้าชนกันตรงกึ่งกลางถนน จึงเป็นความประมาทของนายมนูญแต่ผู้เดียว กับต่อสู้ในเรื่องค่าเสียหาย
จำเลยที่ 3 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 2 และให้การว่าจำเลยที่ 3 มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการขนส่งในการเดินรถโดยสารรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-5826 กรุงเทพมหานคร เป็นรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ได้เช่าไปจากจำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 360,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพิ่มอีก 104,077 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่27 กรกฎาคม 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำการประมาทแต่ฝ่ายเดียว โดยนายมนูญคนขับรถโจทก์ไม่มีส่วนประมาทด้วยแต่อย่างใด และอีกประเด็นหนึ่งมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เสียหายเพียงใดสำหรับค่าซ่อมรถยนต์บรรทุกของโจทก์นั้นเห็นว่า ความเสียหายของรถยนต์บรรทุกที่ได้รับตามภาพถ่ายหมาย จ.9 ถึง จ.12 เสียหายมาก และโจทก์มีรายการค่าอะไหล่และใบเสร็จรับเงินค่าซ่อมรถยนต์ตามเอกสารหมาย จ.14,จ.15 มาแสดงว่าได้ชำระเงินค่าซ่อมจำนวน 224,077 บาท และโจทก์ยังมีนายบุญทอง แซ่ฉั่ว เสมียนของอู่ซ่อมรถยนต์ปราณีตยนต์บริการเป็นพยานโจทก์เบิกความรับรอง ส่วนจำเลยที่ 2 นำสืบว่ารถยนต์บรรทุกของโจทก์เสียหาย 28 รายการ ค่าซ่อมเป็นเงิน120,330 บาท ตามเอกสารหมาย ล.3 นั้น เห็นว่า คณะกรรมการตีราคารถอุบัติเหตุตามเอกสารหมาย ล.3 เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2 เองย่อมต้องตีราคาค่าซ่อมให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 2 จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ รูปคดีฟังได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่า รถยนต์บรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินค่าซ่อม 224,077 บาทจริงส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ต้องเช่ารถอื่นมาใช้แทนในระหว่างซ่อมนั้นเห็นว่าเมื่อรถยนต์บรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ก็จำเป็นต้องหารถยนต์บรรทุกคันอื่นมาแทน มิฉะนั้นกิจการของโจทก์ย่อมเสียหาย การที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าโจทก์ยังมีรถยนต์บรรทุกของโจทก์อีก 2 คัน โจทก์สามารถนำมาใช้แทนกันได้ก็ไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะเช่ารถยนต์บรรทุกอื่นมาแทนรถยนต์บรรทุกคันที่ได้รับความเสียหาย และเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเช่าวันละ1,000 บาท มีกำหนดเวลา 90 วัน รวมเป็นเงินค่าเช่า 90,000 บาทเหมาะสมแล้ว สำหรับค่าเสียหายเกี่ยวกับกุ้งสดโจทก์นำสืบว่าวันเกิดเหตุรถยนต์บรรทุกของโจทก์บรรทุกกุ้งสดเป็นจำนวนเงิน186,966 บาท ตามเอกสารหมาย จ.16 จากจังหวัดระนองเพื่อนำไปจำหน่ายที่จังหวัดชุมพร และโจทก์ยังมีร้อยตำรวจตรีชาติ งานพิทักษ์พนักงานสอบสวนซึ่งไปดูที่เกิดเหตุมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าได้พบกุ้งสดตกเกลื่อนบนถนนที่เกิดเหตุ คดีจึงน่าเชื่อว่าในวันเกิดเหตุรถยนต์บรรทุกของโจทก์ได้บรรทุกกุ้งสดเป็นเงิน186,966 บาท แต่เมื่อเกิดเหตุแล้วโจทก์ไม่พยายามบรรเทาความเสียหายเกี่ยวกับกุ้งสด ศาลอุทธรณ์จึงได้กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับกุ้งสดเป็นเงิน 120,000 บาท นั้นเหมาะสมดีแล้วฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับค่าเสื่อมสภาพของรถยนต์บรรทุกนั้นเห็นว่า รถยนต์บรรทุกได้รับความเสียหายมากและต้องซ่อมรถเป็นเงินถึง 224,077 บาท รถยนต์บรรทุกก็ย่อมเสื่อมสภาพไปมากและที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสื่อมสภาพของรถยนต์บรรทุกคันนี้เป็นเงิน 30,000 บาท นับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 2 แล้ว”
พิพากษายืน