คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 794/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องให้จำเลยเข้าทำสัญญาเช่าอาคารกับสำนักงาน ท. โดยจำเลยตกลงให้ค่านายหน้าแก่โจทก์โจทก์และบิดาโจทก์เป็นผู้ชี้ช่องให้จำเลยทำหนังสือขอเช่ายื่นต่อสำนักงาน ท. จนสำนักงาน ท. ได้มีหนังสือเรียกให้จำเลยไปทำสัญญาเช่า แต่เนื่องจากจำเลยแจ้งการครอบครองอาคารไม่ตรงกับความจริง สำนักงาน ท. จึงมีหนังสือแจ้งจำเลยขอระงับการทำสัญญาแล้วให้จำเลยเข้าประมูลสู้ราคากับผู้เช่าเดิมเพียงสองราย แต่ผู้เช่าเดิมไม่มาประมูล จำเลยจึงเข้าประมูลเสนอให้ค่าธรรมเนียมพิเศษแต่ฝ่ายเดียว และได้เข้าทำสัญญาเช่ากับสำนักงาน ท.กรณีถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่นายหน้าครบถ้วนแล้ว และการที่จำเลยได้เข้าประมูลราคากับผู้เช่าเดิมจนได้เข้าทำสัญญากับสำนักงาน ท. เป็นผลแห่งการชี้ช่องของโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่านายหน้าให้แก่โจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 285,250 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 280,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การปฏิเสธ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 280,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นางอาภา อมาตยกุล ภรรยาโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ถึงแก่กรรม ขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องให้จำเลยเข้าทำสัญญาเช่าอาคารเลขที่ 56 อาคาร 4 ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนครกรุงเทพมหานคร กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยจำเลยตกลงให้ค่านายหน้าแก่โจทก์เป็นเงิน 280,000 บาท ปรากฏตามสัญญานายหน้า เอกสารหมาย จ.3 หรือ ล.2 ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญาเช่าอาคารดังกล่าวกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.11 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่านายหน้าให้แก่โจทก์หรือไม่ ในข้อนี้จำเลยมีนายพลชัยเกียรติมาพรศักดิ์ มาเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า พยานเป็นผู้ทำหนังสือยื่นเรื่องราวขอเช่าอาคารพิพาทต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตามเอกสารหมาย ล.1 พิเคราะห์คำเบิกความของพยานปากนี้แล้วเห็นว่า พยานเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนตามเอกสารหมาย ล.1 มีข้อความเสนอให้ค่าธรรมเนียมในการเช่าเป็นเงิน500,000 บาท แต่พยานตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า พยานไม่ทราบว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีระเบียบการจ่ายเงินค่าธรรมเนียม จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อว่าพยานเป็นผู้ทำเอกสารหมาย ล.1พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อย ส่วนโจทก์มีนายวรินทร์อมาตยกุล บิดาโจทก์มาเป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ให้พยานไปติดต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อให้จำเลยขอเช่าอาคารพิพาทโดยตรง พยานจึงไปติดต่อนายมนู โกสุม หัวหน้ากองคลังสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ นายมนูได้แนะนำว่าให้จำเลยทำหนังสือขอเช่าอาคารพิพาทโดยตรงกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์พยานทราบดังนั้นจึงไปบอกโจทก์ โจทก์ได้ไปแนะนำจำเลย จำเลยจึงได้ทำหนังสือขอเช่า ตามเอกสารหมาย ล.1 มอบให้พยานไปยื่นต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวแล้ว เห็นว่า พยานเบิกความมีเหตุผล ประกอบกับโจทก์มีนายมนูมาเบิกความสนับสนุนโดยยืนยันว่าเป็นผู้แนะนำจริง นอกจากนั้น โจทก์ยังมีนายวันชัย มุกดา หัวหน้าการทั่วไป กองอาคารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มาเบิกความยืนยันว่า โจทก์และบิดาโจทก์ได้มาติดตามเรื่องขอเช่าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้จำเลยยังได้ทำสัญญานายหน้าให้กับโจทก์ไว้ ตามเอกสารหมาย จ.3 พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย เชื่อได้ว่าโจทก์และบิดาโจทก์เป็นผู้ชี้ช่องให้จำเลยทำหนังสือขอเช่า ตามเอกสารหมาย ล.1 ยื่นต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้มีหนังสือเรียกให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย ล.4 แต่เนื่องจากจำเลยแจ้งการครอบครองอาคารไม่ตรงกับความจริง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จึงมีหนังสือแจ้งจำเลยขอระงับการทำสัญญาตามเอกสารหมาย ล.5 แล้วให้จำเลยเข้าประมูลสู้ราคากับผู้เช่าเดิมเพียงสองรายแต่ผู้เช่าเดิมไม่มาประมูล จำเลยจึงเข้าประมูลเสนอให้ค่าธรรมเนียมพิเศษแต่ฝ่ายเดียว และได้เข้าทำสัญญาเช่ากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามเอกสารหมาย ล.11 กรณีถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่นายหน้าครบถ้วนแล้ว และการที่จำเลยได้เข้าประมูลราคากับผู้เช่าเดิมจนได้เข้าทำสัญญากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผลแห่งการชี้ช่องของโจทก์นั่นเอง จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่านายหน้าให้แก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดีมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share