คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 779/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินและอาคารพิพาทจากผู้ให้เช่า เพื่อประกอบการค้าและอยู่อาศัย จำเลยและบริวารได้เข้าไปใช้ประโยชน์และอยู่อาศัยในที่ดินและอาคารพิพาท โจทก์แจ้งให้ออกไปแล้วจำเลยไม่ยอมออก ซึ่งแปลความได้ว่าจำเลยได้เข้ามาอยู่อาศัยในที่ดินและอาคารพิพาทหลังจากโจทก์ทำสัญญาเช่าและผู้ให้เช่าส่งมอบที่ดินและอาคารพิพาทให้โจทก์แล้ว ซึ่งเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์โดยตรง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยลำพัง แต่ข้อเท็จจริงทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองและใช้สอยที่ดินและอาคารพิพาทก่อนฟ้องคดี ฝ่ายจำเลยได้เข้าไปอยู่ในที่ดินและอาคารพิพาทตลอดมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่า การที่จำเลยอยู่ในที่ดินและอาคารพิพาทจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์รูปคดีเป็นเรื่องความรับผิดของผู้ให้เช่าในกรณีรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 549 ประกอบมาตรา 477 โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยเองโดยลำพังไม่ได้ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแต่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ โจทก์มิได้คัดค้านและมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งดังกล่าวเป็นอันยุติแล้ว ต้องถือว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกให้ผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินและอาคารชั้นเดียวเลขที่69/30 ถนนพระรามที่ 6 จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2526 เป็นต้นไป ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาท เพื่อประกอบการค้าและอยู่อาศัย จำเลยและบริวารได้เข้าไปใช้ประโยชน์และอยู่อาศัยในที่ดินและอาคารที่โจทก์เช่าโดยเปิดปั๊มจำหน่ายแก๊ส โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไป แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารที่โจทก์เช่า ให้ใช้ค่าเสียหาย664,000 บาท พร้อมค่าเสียหายอีกวันละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายออกไป จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิทำสัญญาเช่าตามฟ้อง เนื่องจากที่ดินและอาคารมิได้อยู่ในความครอบครองของโจทก์ ไม่ได้อยู่อาศัยในที่ดินและอาคารพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินหรืออาคารที่พิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายโจทก์ ขอให้พิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารเลขที่ 69/30ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันที่โจทก์ทำสัญญาเช่ากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกไปจากที่ดินและอาคารดังกล่าว จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาพิจารณาในชั้นนี้มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้โดยลำพังหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เช่าที่ดินและอาคารพิพาทจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อประกอบการค้าและอยู่อาศัย จำเลยและบริวารได้เข้าไปใช้ประโยชน์และอยู่อาศัยในที่ดินและอาคารพิพาท โจทก์แจ้งให้ออกไปแล้วจำเลยไม่ยอมออก ซึ่งแปลความได้ว่าจำเลยได้เข้ามาใช้ประโยชน์และอยู่อาศัยในที่ดินและอาคารพิพาทหลังจากโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าและผู้ให้เช่าส่งมอบที่ดินและอาคารพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองใช้สอยแล้ว หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง การที่จำเลยเข้ามาใช้ประโยชน์และอยู่อาศัยในที่ดินและอาคารพิพาทก็เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์โดยตรงโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยลำพังแต่โจทก์เบิกความว่าในขณะส่งมอบทรัพย์สินไม่มีใครคัดค้านและขณะนั้นที่ดินรกร้างไม่มีใครอยู่อาศัยพยานต้องการรื้ออาคารเก่าออกเพื่อสร้างอาคารใหม่ได้เสนอโครงการต่อสำนักงานทรัพย์สินด้วยปรากฏตามเอกสารหมาย จ.8 แต่ไม่สามารถทำตามโครงการได้ เพราะหลังจากที่พยานได้จ้างสถาปนิกมาออกแบบและเสนอโครงการต่าง ๆ แล้วเมื่อพยานจะครอบครองจริง ปรากฏว่ามีผู้เข้ามาครอบครองสร้างเป็นปั๊มแก๊สและอู่ซ่อมรถยนต์ จากคำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินและอาคารพิพาทเพื่อประกอบการค้าและอยู่อาศัยตามที่ได้ทำสัญญากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามเอกสารหมาย จ.4 เนื่องจากโจทก์ไม่มีความประสงค์ที่จะเข้าไปประกอบการค้าและอยู่อาศัยในที่ดินและอาคารที่พิพาท แต่ประสงค์จะรื้ออาคารพิพาทออก แล้วทำการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นเพื่อทำเป็นอาคารโพลีคลินิกและร้านขายยาขนาดใหญ่ โจทก์จึงได้เสนอโครงการต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ครั้นเมื่อเสนอโครงการแล้วโจทก์จะเข้าไปครอบครองจริงก็ปรากฏว่าจำเลยได้เข้าไปครอบครองสร้างเป็นปั๊มแก๊สและอู่ซ่อมรถเห็นว่าหากโจทก์เข้าครอบครองก่อนจริงแล้วจำเลยหรือผู้หนึ่งผู้ใดไม่มีทางที่จะเข้ามาสร้างปั๊มแก๊สและอู่ซ่อมรถได้ นอกจากนี้โจทก์ยังเบิกความตอบคำถามค้านรับว่าหลังจากทำสัญญากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แล้ว โจทก์ยังไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวเลย ฝ่ายจำเลยมีจำเลยร้อยตำรวจโทนิตินัย จันทรวิจิตร และนายนพดล อินทรสิทธิ์เป็นพยานจำเลยเบิกความว่า จำเลยเป็นลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดสินมหาชัยบริการ ซึ่งตั้งอยู่ที่ที่ดินและอาคารพิพาท นางจำลอง มหาชัย มารดาจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดสินมหาชัยบริการได้ทำสัญญาเช่าช่วงอาคารพิพาทมาจากบริษัทซัมมิทอินดัสเทรียล จำกัด (ปานามา) ตั้งแต่ปี 2513จำเลยกลับจากต่างประเทศ จึงได้เข้ามาทำงานในห้างหุ้นส่วนดังกล่าว นอกจากขายน้ำมันแล้ว ยังรับจ้างซ่อมรถยนต์ ปะยางรถยนต์และได้เปิดแผนกขายแก๊สรถยนต์ตั้งแต่ปี 2524 ไม่เคยปล่อยที่ดินให้ว่างเลย ต่อมาบริษัทซัมมิทอินดัสเทรียล จำกัด (ปานามา)เลิกกิจการในประเทศไทย ห้างหุ้นส่วนจำกัดสินมหาชัยบริการจึงได้ยื่นขอเป็นผู้เช่าโดยตรงต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และยังคงครอบครองที่ดินและอาคารพิพาทตลอดมา โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครอง นอกจากนี้จำเลยยังอ้างเอกสาร 2 ฉบับ คือเอกสารหมาย ล.1 เป็นหนังสือที่บริษัทซัมมิทอินดัสเทรียล จำกัด(ปานามา) ได้มีหนังสือถึงบิดาจำเลยให้ไปทำสัญญาเช่าที่ดินและอาคารพิพาทกับบริษัทเป็นการเช่าช่วง และเอกสารหมาย ล.2 เป็นหนังสือที่ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีถึงห้างหุ้นส่วนจำกัดสินมหาชัยบริการ เพื่อแจ้งว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสินมหาชัยบริการเป็นผู้ดำเนินการกิจการแทนบริษัทซัมมิทอินดัสเทรียล จำกัด (ปานามา) จึงไม่พิจารณาเรื่องการครอบครองใช้สอยสถานที่ของห้างดังกล่าว ร้อยตำรวจโทนิตินัย จันทรวิจิตร กับนายนพดล อินทรสิทธิ์ มาเบิกความยืนยันรับรองว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดสินมหาชัยบริการได้ประกอบกิจการซ่อมรถยนต์และขายแก๊สในที่ดินและอาคารพิพาทมาก่อนนานแล้วและยังคงประกอบกิจการอยู่ พยานหลักฐานของจำเลยประกอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองและใช้สอยที่ดินและอาคารพิพาทก่อนฟ้องคดีนี้ แต่ฝ่ายจำเลยได้เข้าไปอยู่ในที่ดินและอาคารพิพาทตลอดมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่า การที่จำเลยอยู่ในที่ดินและอาคารพิพาทจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ รูปคดีเป็นเรื่องความรับผิดของผู้ให้เช่าในกรณีรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 549ประกอบด้วยมาตรา 477 โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยเองโดยลำพังไม่ได้ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์เสีย ต้องถือว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาในคดีแล้วนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์แล้ว โจทก์มิได้คัดค้านไว้ และมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นอันยุติแล้ว ต้องถือว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share