แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด แม้โจทก์จะแนบเอกสารท้ายฟ้องอันแสดงถึงการเป็นนิติบุคคลของโจทก์โดยแนบสำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคลอื่นอันเป็นเรื่องที่โจทก์แนบมาผิดพลาดการแนบเอกสารท้ายฟ้องก็เป็นเพียงเพื่อให้ชัดเจนถึงฐานะของโจทก์ ไม่ใช่หลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี ทั้งจำเลยก็เคยเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์มาก่อนและยังให้การยอมรับเช่นนั้น ย่อมเป็นการยอมรับว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลแล้ว การที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับการเป็นนิติบุคคลของโจทก์โดยแนบหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ฉบับที่ถูกต้องภายหลังที่โจทก์ได้สืบพยานไปแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจที่จะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องดังกล่าวได้ กรณีไม่ต้องด้วยข้อห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลมาแต่ต้นการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีชอบด้วยกฎหมายและโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปในทางมิชอบในการอนุมัติให้สินเชื่อและให้กู้ยืมเงิน ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการ และต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่นิติบุคคลตามกฎหมาย หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เป็นหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของห้างหุ้นส่วนจำกัดฟูหงวนเทรดดิ้ง ไม่ใช่หนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่าโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืมเงิน รับซื้อลดเช็ค และให้สินเชื่อโดยวิธีอื่น ๆมีนายอุกฤษฎ์ ควรพินิจ และนายสุจินต์ ชววิสุทธิกูล เป็นกรรมการผู้มีอำนาจร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญบริษัทโจทก์ และโจทก์ประกอบธุรกิจเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ ปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์และหนังสืออนุญาตของกระทรวงการคลังเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1, 2 แต่ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1กลับเป็นสำเนาหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ รับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของห้างหุ้นส่วนจำกัดฟูหงวน เทรดดิ้งซึ่งมีวัตถุประสงค์ทำการค้าน้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเชื้อเพลิงปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช และยารักษาโรคสัตว์ทุกชนิดฯลฯ โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืมเงิน รับซื้อลดเช็คและไม่ได้ประกอบธุรกิจเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ กับมีนางนัยนาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เห็นได้ว่า สำเนาหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ดังกล่าวมิใช่เป็นหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ จำเลยเองก็เคยทำงานเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์มาก่อนย่อมทราบดีว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดทั้งจำเลยได้ให้การตามคำให้การหน้าแรกว่า “จำเลยยอมรับว่าจำเลยเคยเป็นกรรมการของบริษัทโจทก์…” เป็นการรับรองว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลแล้ว เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 จึงเป็นเรื่องที่โจทก์แนบมาผิดพลาดและหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลที่แนบมาท้ายฟ้องก็เพื่อให้ชัดเจนในฐานะของโจทก์เท่านั้น ไม่ใช่หลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นข้อกล่าวหาตามฟ้อง เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 พร้อมทั้งแนบหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ฉบับที่ถูกต้องมาด้วย แม้จะยื่นภายหลังจากที่ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาท และโจทก์ได้สืบพยานไปแล้ว ศาลแรงงานกลางก็ย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องให้ถูกต้องได้ กรณีไม่ต้องด้วยข้อห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31โจทก์จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลมาแต่ต้น การมอบอำนาจให้นายวัชระฟ้องคดีแทนจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน.