แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้ดำเนินการตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลสั่งให้นัดพร้อม ในวันนัดพร้อมโจทก์ จำเลย ทนายโจทก์ ทนายจำเลยมาศาล โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยในศาลมีข้อความว่า โจทก์จำเลยไม่อาจบังคับตามข้อ 2 ของสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้บังคับตามข้อ 1 แทน ศาลได้บันทึกข้อความดังกล่าวไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาแล้ว ดังนี้เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่จะตกลงกันเองตามความสมัครใจว่าจะบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเพียงใดหรือไม่ โจทก์กับจำเลยอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจะอ้างว่าข้อตกลงกันใหม่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ และไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่หาได้ไม่
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1663 ภายในกำหนดเวลา3 เดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือมิฉะนั้นจำเลยจะดำเนินการให้โจทก์ได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินของโจทก์ดังกล่าวกับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 50 ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดจำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 ถึงข้อ 3ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว หลังจากนั้นมีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 50 ออกเป็นที่ดิน 2 แปลง คือที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 2289 และ 2290 จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนแลกเปลี่ยนที่ดินของโจทก์ตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 1663 กับที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 2290 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อมระหว่างโจทก์กับจำเลย ในวันนัดพร้อมโจทก์จำเลยมาศาลและตกลงกันใหม่โดยให้ยกเลิกการบังคับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ที่ว่า จำเลยจะดำเนินการให้โจทก์ได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1663 กับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 50ซึ่งต่อมาได้แบ่งแยกออกเป็นที่ดิน 2 แปลง คือที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 2289 และ 2290 นั้นเสีย โดยให้บังคับชำระหนี้ได้เฉพาะตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 ที่ว่าจำเลยยอมออกจากที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1663 ภายในกำหนดเวลา 3 เดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ปรากฏตามข้อตกลงกันที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2530 ครั้นวันที่2 ธันวาคม 2530 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์มาศาลเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 โดยอ้างว่าข้อตกลงใหม่ระหว่างโจทก์กับจำเลยตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้นั้นไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ข้อตกลงตามที่บันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2530 เป็นข้อตกลงของคู่ความทั้งสองฝ่ายซึ่งได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้ จึงไม่มีเหตุที่จะเรียกโจทก์มาให้ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าข้อตกลงกันใหม่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ และจำเลยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงกันใหม่นั้น เห็นว่า ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2530ซึ่งเป็นวันที่ศาลชั้นต้นนัดพร้อมระหว่างโจทก์กับจำเลยตามคำร้องของจำเลยนั้น โจทก์ จำเลย ทนายโจทก์กับทนายจำเลยมาศาล โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยในศาลมีข้อความว่า โจทก์จำเลยไม่อาจบังคับตามข้อ 2ของสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 29 มิถุนายน 2530 จึงให้บังคับตามข้อ 1 แทน ศาลชั้นต้นได้บันทึกข้อความดังกล่าวไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2530 และท้ายรายงานกระบวนพิจารณามีตัวโจทก์กับตัวจำเลยลงลายมือชื่อรับรองไว้ ส่วนทนายโจทก์กับทนายจำเลยได้ออกจากห้องพิจารณาก่อนที่จะมีการอ่านรายงานกระบวนพิจารณา เห็นได้ว่าขณะที่โจทก์กับจำเลยตกลงกันเช่นนั้นตัวจำเลยกับทนายจำเลยมีอำนาจใช้ดุลพินิจไตร่ตรองได้เต็มที่ว่าข้อความที่จะตกลงกับโจทก์นั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่ ถ้าหากเห็นว่าเสียเปรียบหรือไม่สมควร จำเลยกับทนายจำเลยก็มีอำนาจที่จะไม่ยอมตกลงและต่อรองได้ทั้งเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่จะตกลงกันเองตามความสมัครใจว่าจะบังคับกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเพียงใดหรือไม่ จึงอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อจำเลยกับทนายจำเลยได้ใช้ดุลพินิจไตร่ตรองข้อความที่จะตกลงกันโดยตลอดแล้ว จำเลยจึงตกลงกับโจทก์ตามข้อความที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้เช่นนี้ จำเลยจะอ้างว่าข้อตกลงกันใหม่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความและจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงกันใหม่หาได้ไม่ กรณีไม่มีเหตุที่จะเรียกโจทก์มาเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำร้องของจำเลย”
พิพากษายืน