คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4040/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยแต่งทนายและยื่นคำให้การปฏิเสธความรับผิดตามฟ้อง แสดงว่าประสงค์จะต่อสู้คดีจนถึงที่สุด ทั้งจำเลยและทนายก็มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์แต่ผิดเวลาไป คือมาศาลหลังจากที่ศาลสั่งขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปแล้ว พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยเข้าใจผิดเรื่องเวลานัดของศาลเนื่องจากทนายจำเลยจดเวลานัดในสมุดนัดผิดพลาดถือได้ว่าจำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา และขอพิจารณาคดีใหม่ได้ จำเลยมาศาลหลังจากเริ่มต้นสืบพยานไปแล้ว แต่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา ถือได้ว่าอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีฝ่ายเดียว จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ในระยะเวลาดังกล่าว เป็นการขอตามป.วิ.พ. มาตรา 205 วรรคสอง ไม่ต้องกล่าวขอคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลในคำร้องดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 208 วรรคท้าย.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาแล้วทำการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นยกคดีขึ้นพิพากษาใหม่อ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องและดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลชั้นต้นนัดสืบพยาโจทก์วันที่ 21 เมษายน 2530 เวลา 9 นาฬิกา เมื่อถึงวันนัดจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่าทนายจำเลยได้จดเวลานัดลงในสมุดนัดผิดพลาดเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา จำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัด คดีมีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ ตามทางไต่สวนได้ความจากจำเลยทั้งสองเบิกความว่า ได้รับคำบอกกล่าวจากทนายจำเลยก่อนวันนัดประมาณ 1-2 วันว่าศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 21 เมษายน 2530 เวลา 13.30 นาฬิกา จำเลยทั้งสองจึงมาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12 นาฬิกา นายจำเนียร นาคประสิทธิ์ศักดิ์ทนายความเบิกความประกอบว่า พยานเข้าใจผิดเรื่องเวลานัดเป็นว่าศาลนัดเวลา 13.30 นาฬิกา จึงได้สั่งให้จำเลยทั้งสองมาศาลตามเวลาดังกล่าวเพื่อหาทางตกลงประนีประนอมกับโจทก์ เห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองได้แต่งทนายและยื่นคำให้การปฏิเสธความรับผิดตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยทั้งสองประสงค์จะสู้คดีจนถึงที่สุด ทั้งจำเลยทั้งสองและทนายจำเลยก็มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ หากแต่ผิดเวลาไป คือมาศาลภายหลังจากที่ศาลเริ่มต้นสืบพยานโจทก์ไปแล้ว ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยเข้าใจผิดในเรื่องเวลานัดของศาลดังที่จำเลยอ้างจริง การขาดนัดของจำเลยจึงมิได้เป็นไปโดยจงใจ จำเลยย่อมขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้
ที่โจทก์ฎีกาว่า คำขอพิจารณาใหม่ของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 เพราะมิได้คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เห็นว่าการที่จำเลยทั้งสองมาศาลภายหลังจากที่ได้เริ่มต้นสืบพยานไปแล้ว แต่ศาลยังมิได้มีคำพิพากษา ถือได้ว่าอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ในระยะเวลาดังกล่าว จึงเป็นการยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205วรรค 2 คำร้องไม่จำต้องกล่าวข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลดังที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 208 วรรคท้าย เมื่อฟังได้ว่าการขาดนัดของจำเลยทั้งสองมิได้เป็นไปโดยจงใจ จำเลยก็มีสิทธิที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดีนั้น ยังไม่ถูกต้องเพราะศาลชั้นต้นได้ดำเนินการไต่สวนคำร้องของจำเลยและมีคำสั่งในเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่แล้ว จึงไม่ต้องไต่สวนและมีคำสั่งใหม่อีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่โดยเริ่มตั้งแต่สืบพยานโจทก์เป็นต้นไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share