คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลในคดีล้มละลายมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเข้าว่าคดีแพ่งทั้งปวงเกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์ไม่มี อำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาหรือว่าคดีได้อีก เมื่อปรากฏว่า โจทก์เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีนี้มาตลอดจนกระทั่งเสร็จสิ้นในชั้นศาลอุทธรณ์แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์ใน ชั้นฎีกา ดังนี้การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นคำสั่ง ของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลายฯมาตรา 22,25.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยทั้งสองไม่มีเงินพอชำระหนี้และเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญากู้ยืมเงิน และสัญญาค้ำประกันตามฟ้องทำขึ้นจากการแสดงเจตนาลวงของโจทก์ โดยนางวนิดา ผดุงจิตต์กับนายสุรพล จันทร์เจริญ ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยทั้งสองอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้โจทก์นำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไปแสดงต่อสามีโจทก์ว่า เงินที่ขาดหายไปได้ให้จำเลยที่ 1 กู้โดยโจทก์จำเลยไม่มีเจตนาผูกพันกันตามสัญญาดังกล่าว จำนวนเงินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 กู้ ตามสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องรวมดอกเบี้ยในอัตราที่ผิดต่อกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง จำนวนหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่มีจำนวนไม่แน่นอน จำเลยทั้งสองมีรายได้และมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ให้โจทก์ได้ มีเหตุอันสมควรที่จำเลยทั้งสองจะไม่ล้มละลาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2528 บริษัทหลักทรัพย์ไทยค้า จำกัดฟ้องโจทก์ขอให้เป็นบุคคลล้มละลายต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 4มกราคม 2527 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2528 ตามคดีล้มละลายหมายเลขดำที่ ล.2/2527คดีหมายเลขแดงที่ ล.133/2528 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดแล้ว คือตั้งแต่วันที่4 มิถุนายน 2528 เป็นต้นไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเข้าว่าคดีนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา22, 25 โจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาหรือว่าคดีได้อีกแต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาและว่าคดีนี้ตลอดมาจนกระทั่งเสร็จสิ้นในชั้นศาลอุทธรณ์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์ในชั้นฎีกาและตามพฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่า โจทก์ได้ทราบถึงข้อที่ถูกตัดอำนาจดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22, 25 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้”
พิพากษาให้ยก การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2528 เป็นต้นไป และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่แล้วมีคำสั่งตามรูปคดี

Share