คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3756/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถโดยสารได้ยื่นหนังสือถึงจำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนประจำจังหวัดขอถอนรถโดยสารบางคันออกจากบัญชี ขส.บ.11ถือได้ว่าโจทก์ประสงค์จะเลิกใช้รถที่จดทะเบียนแล้วตามมาตรา 79แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก เมื่อไม่ปรากฏว่ามีระเบียบหรือข้อบังคับใดมาแสดงให้เห็นว่าจำเลยต้องปฏิบัติตามโดยจะพิจารณาสั่งเป็นอย่างอื่นที่เหมาะสมไม่ได้ ดังนั้น การที่จำเลยไม่อนุญาตจะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ได้ เมื่อรถที่โจทก์นำเข้ามาร่วมรับส่งผู้โดยสารได้พากันหยุดแล่นรับส่งผู้โดยสารถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่นายทะเบียนกำหนดตามมาตรา 31(1) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจำเลยมีอำนาจตามมาตรา 46 สั่งโจทก์ให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขได้ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประเภทรถโดยสารประจำทางในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี จำเลยรับราชการตำแหน่งขนส่งจังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์ได้ยื่นคำขอเลิกใช้รถประจำทาง 2 คัน จำเลยสั่งชะลอการถอนรถทั้งสองคันอ้างว่าโจทก์ไม่แจ้งถึงเหตุผลและความจำเป็น โจทก์จึงขอเลิกใช้รถดังกล่าวอีก โดยแจ้งเหตุผลและความจำเป็นไปด้วย จำเลยก็ยังไม่อนุญาต ต่อมาอีกประมาณ 20 วัน รถร่วมจำนวน 21 คันพากันหยุดไม่ยอมรับส่งผู้โดยสาร จำเลยสั่งให้โจทก์จัดหารถมาแล่นรับส่งคนโดยสารแทนรถที่หยุดภายใน 7 วัน ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ยื่นหนังสือขอถอนรถคันดังกล่าวออกจากบัญชี ขส.บ.11 นั้น พอแปลได้ว่าโจทก์ประสงค์ที่จะเลิกใช้รถที่จดทะเบียนแล้ว ตามมาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะเลิกใช้รถที่จดทะเบียนแล้วมีหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือให้นายทะเบียนทราบ โดยโจทก์จะต้องนำแผ่นป้ายเลขทะเบียนรถคืนแก่นายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เลิกใช้รถ มิฉะนั้นจะต้องได้รับโทษตามมาตรา 143 นอกจากนี้โจทก์ไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับใดมาแสดงให้เห็นว่า เมื่อโจทก์ยื่นหนังสือเลิกใช้เพื่อขอถอนรถร่วมในสัมปทานของโจทก์ออกจากบัญชี ขส.บ.11 จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำขอของโจทก์โดยจำเลยจะพิจารณาสั่งเป็นอย่างอื่นตามที่เหมาะสมไม่ได้ ดังนั้น การที่จำเลยไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนรถร่วมออกจากบัญชี ขส.บ.11 ดังกล่าว จะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่าการที่รถร่วมหยุดแล่นรับส่งผู้โดยสารมิได้เกิดจากการกระทำของโจทก์ แต่จำเลยกลับสั่งให้โจทก์นำรถเข้าแล่นรับส่งผู้โดยสารแทนรถที่หยุดแล่นโดยทราบอยู่แล้วว่าโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขและไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่งนั้นได้ เพื่อแกล้งให้โจทก์ต้องจัดหารถใหม่ ทำให้โจทก์เสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ซึ่งในใบอนุญาตดังกล่าวได้กำหนดให้โจทก์ปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขที่นายทะเบียนกำหนดตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522ได้ความว่ารถที่โจทก์นำเข้ารับส่งผู้โดยสารตามใบอนุญาตประกอบการขนส่งรถประจำทางพากันหยุดแล่นรับส่งผู้โดยสาร ถือได้ว่าโจทก์ได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่นายทะเบียนกำหนดตามมาตรา 31(1) แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ในใบอนุญาตดังกล่าว จำเลยในฐานะนายทะเบียนอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวสั่งโจทก์ให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขในมาตรา 31ได้โดยชอบ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน.

Share