คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3692/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อน ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นภารจำยอมของที่ดิน 4 โฉนดและให้จำเลย (โจทก์คดีนี้) จดทะเบียนที่ดินพิพาทให้เป็นภารจำยอมแก่ที่ดิน 4 โฉนดนั้น กับห้ามจำเลยเกี่ยวข้องเช่นนี้ ผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาในคดีก่อนนั้นโดยอ้างว่าพยานเอกสารและพยานบุคคลในคดีก่อนนั้นเป็นเท็จทำให้ศาลพิพากษาคลาดเคลื่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายเฉลย เทพสุยะ ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ ขอให้ที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดที่ 908 ของโจทก์เปิดเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดที่ 909,5716, 5717 และ 5718 ตำบลบางไส้ไก่ฝั่งเหนือ (หรือคลองต้นไทร)อำเภอบางลำภูล่าง (หรือคลองสาน) จังหวัดธนบุรีหรือกรุงเทพมหานครศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์จดทะเบียนที่ดินของโจทก์เป็นทางภารจำยอมศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน เหตุที่ศาลพิพากษาให้โจทก์ในคดีนี้แพ้คดีเนื่องจากโจทก์ในคดีดังกล่าวกับนายพนม นาคะศิริ นายช่างรังวัดของสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาธนบุรี ซึ่งได้รับคำสั่งของศาลให้ทำแผนที่พิพาทได้ร่วมกันทำรายงานการรังวัด ใบรับรองเขตติดต่อของที่ดิน บันทึกถ้อยคำของเจ้าของที่ดินและแผนที่พิพาทเป็นเท็จทั้งสิ้น และนำพยานบุคคลเข้าเบิกความเท็จ เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อแล้วพิพากษาให้โจทก์ในคดีนี้แพ้คดี โจทก์ในคดีดังกล่าวจึงไม่มีสิทธิอ้างหรืออาศัยคำพิพากษาในคดีดังกล่าวมาบังคับโจทก์ในคดีนี้ ไม่มีสิทธิอ้างว่าที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโจทก์ในคดีนี้เป็นทางภาระจำยอม จำเลยที่ 3 เป็นภรรยาและเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายเฉลย เทพสุยะ ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าว หรือให้ถือว่าโจทก์ในคดีนั้นไม่มีสิทธิอ้างว่าที่ดินส่วนหนึ่งของโจทก์ในคดีนี้เป็นภาระจำยอม ไม่มีสิทธิบังคับให้โจทก์จดทะเบียนที่ดินให้เป็นภาระจำยอม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 14243/2521 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่คำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีก่อน ให้โจทก์คดีนี้จดทะเบียนทางพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ในคดีก่อน ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืน คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145โจทก์ไม่มีสิทธิมาร้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาดังกล่าว และไม่มีสิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้น พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า ในการทำแผนที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.9 ในคดีก่อน (คือเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 คดีนี้)เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำผิดพลาดจากความจริง โดยคดีก่อนนั้นทางภาระจำยอมเริ่มต้นจากโฉนดที่ 909 ผ่านที่ดินโฉนดที่ 1969 และที่ดิน329 ของนางทองปราย เพชรบุตร เจ้าของที่ดินขณะนั้น ซึ่งต่อมาได้มีการโอนกันหลายทอดตกเป็นของนางรุณี สิริสิงห์ ซึ่งไม่ใช่ที่ดินของโจทก์คดีนี้ ในวันนัดพร้อมเพื่อดูแผนที่พิพาทในวันที่ 14 ปรากฏว่าตัวความและทนายทั้งสองฝ่ายไม่มาศาล คงมีแต่เสมียนทนายโจทก์และเสมียนทนายจำเลยมา มิได้รับรองแผนที่พิพาทว่าถูกต้อง จึงเป็นเหตุให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ในคดีนั้นแพ้คดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.9 ในคดีก่อน (คือเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 คดีนี้ได้เป็นพยานหลักฐานพิจารณาโต้เถียงกันในคดีก่อนแล้ว แม้จะเป็นเท็จหรือไม่เท็จก็ตาม ศาลแพ่งได้พิพากษาให้ที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 908 ตามแผนที่พิพาทเป็นภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่909, 5716, 5717 และ 5718 และให้จำเลย (โจทก์คดีนี้) จดทะเบียนที่ดินของจำเลยตามส่วนดังกล่าวให้เป็นภาระจำยอมแก่ที่ดิน 4 โฉนดห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ศาลฎีกาพิพากษายืน โจทก์จะอ้างว่าพยานเอกสารและพยานบุคคลในคดีก่อนเป็นเท็จ ทำให้ศาลพิพากษาคลาดเคลื่อนไปไม่ได้ผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาในคดีนั้น
พิพากษายืน.

Share