แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นส่งหมายนัด ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้แก่ทนายจำเลยที่ 1 โดยชอบแล้ว ครั้นถึงวันนัด ทนายจำเลยที่1 ไม่มา ศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้ทนายโจทก์ซึ่งมาศาลฟังและบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้วตั้งแต่วันนั้น ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้วตั้งแต่วันอ่านนั้น.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์ ถ้ายังไม่พอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว สั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 29 กรกฎาคม 2529 ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ ซึ่งสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์ ให้นำค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้ โดยศาลชั้นต้นได้แจ้งวันนัดอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยที่ 1 ทราบโดยชอบแล้ว ทนายโจทก์มาศาลส่วนทนายจำเลยที่ 1ไม่มา ศาลชั้นต้นจึงได้อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าวให้ทนายโจทก์ฟัง และจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า ทนายจำเลยที่ 1 ทราบนัดแล้วไม่มาศาล ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ในวันนี้ด้วยแล้ว ต่อมาวันที่ 21 สิงหาคม 2529 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่ายังไม่ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ขอวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ในวันที่ 5 กันยายน 2529 ศาลชั้นต้นสั่งในวันนั้นว่าทนายจำเลยที่ 1ทราบวันนัดอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้ว แต่ไม่มาฟังเมื่อศาลได้อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ซึ่งมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน ต้องถือว่าทนายจำเลยที่ 1 ทราบคำสั่งดังกล่าวและมีผลให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้วเช่นกัน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีการส่งหมายนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้แก่ทนายจำเลยที่ 1 โดยชอบแล้ว ครั้นถึงวันนัดคือวันที่ 29 กรกฎาคม 2529 ทนายจำเลยที่ 1 ไม่มา ศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้ทนายโจทก์ซึ่งมาศาลฟังส่วนทนายจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มา ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้ว ตั้งแต่วันนั้นคดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ในปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์และบันทึกรายงานกระบวนพิจารณาไว้ดังกล่าว จะถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้วตั้งแต่วันอ่านนั้นหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์วันที่21 สิงหาคม 2529 จึงชอบที่จะวางค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ภายในวันที่ 5 กันยายน 2529 พิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3) บัญญัติไว้ว่าการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้อ่านข้อความทั้งหมดในศาลโดยเปิดเผยตามเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายนี้ต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่าย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลจดลงไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือในรายงานซึ่งการอ่านนั้น และให้คู่ความที่มาศาลลงชื่อไว้เป็นสำคัญ ถ้าคู่ความไม่มาศาล ศาลจะงดการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลจดแจ้งไว้ในรายงานและให้ถือว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้อ่านตามกฎหมายแล้ว และมาตรา 1(11) ของประมวลกฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้ว่า”คู่ความ” หมายความว่า บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาลและเพื่อประโยชน์แห่งการดำเนินกระบวนพิจารณา ให้รวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิกระทำการแทนบุคคลนั้น ๆ ตามกฎหมายหรือในฐานะทนายความจากบทบัญญัติดังกล่าวนี้ ทนายจำเลยที่ 1 จึงได้ชื่อว่าเป็นคู่ความมีฐานะเท่ากับเป็นจำเลยที่ 1 ได้ความว่าในการอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ได้มีการส่งหมายนัดให้ทนายจำเลยที่ 1 โดยชอบแล้ว ดังนี้ มีผลเท่ากับจำเลยที่ 1 ทราบวันนัดแล้ว เมื่อถึงวันนัดคือวันที่ 29กรกฎาคม 2529 จำเลยที่ 1 หรือทนายจำเลยที่ 1 ไม่ไปศาล ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ในวันนั้นแล้ว ดังนี้ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบคำสั่งของศาลอุทธรณ์ตั้งแต่วันที่กล่าวนั้น จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์วันที่ 21 สิงหาคม 2529 หาได้ไม่…”
พิพากษายืน