คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2412/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา ต่อมาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำบังคับ พนักงานเดินหมายรายงานว่าได้ปิดคำบังคับไว้ที่บ้านของจำเลยตามคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 29มิถุนายน 2526 ต้องถือว่าจำเลยรับคำบังคับภายหลังปิดคำบังคับ 15วัน คือวันที่ 14 กรกฎาคม 2526 จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2526 โจทก์จึงต้องขอหมายบังคับคดีภายในวันที่28 สิงหาคม 2526 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260(2) เมื่อโจทก์มาขอให้ศาลแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันที่ 28 กันยายน 2526 จึงเกินกำหนดเวลาที่กฎหมายบังคับไว้ไปถึง 1 เดือน คำสั่งให้ยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาจึงเป็นอันยกเลิก การที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้ติดตามผลของการส่งคำบังคับตลอดมา แต่พนักงานเดินหมายไม่รายงานผลของการส่งคำบังคับต่อศาลทำให้โจทก์ขอหมายบังคับคดีล่าช้านั้น ไม่เป็นข้อแก้ตัวที่จะยกเว้นบทบังคับของมาตรา 260(2) เพราะโจทก์อาจขอหมายบังคับคดีไว้ก่อนได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยรวม 106,218 บาท และดอกเบี้ยอีกร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 105,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และโจทก์ร้องขอให้ศาลยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาเป็นกรณีฉุกเฉิน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยึดที่ดินและบ้านของจำเลยไว้ชั่วคราว จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์รวมเป็นเงิน 105,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์ขอให้ออกคำบังคับ เมื่อศาลชั้นต้นออกคำบังคับส่งให้จำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์ขอให้ศาลแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อเอาทรัพย์ของจำเลยที่ยึดไว้ชั่วคราวขายทอดตลาดต่อไป เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งว่า โจทก์ไม่ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนดเวลา การยึดทรัพย์ไว้ชั่วคราวจึงสิ้นผลไม่มีทรัพย์ของจำเลยที่ยึดไว้โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ไม่สามารถทราบผลการส่งหมายได้ว่าครบกำหนดคำบังคับเมื่อใด เพราะรายงานการส่งหมายเพิ่งถึงศาลเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2526 ขอให้ศาลแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อไป ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์มาขอหมายบังคับคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260(2) แล้วการยึดทรัพย์ตามหมายยึดชั่วคราวจึงสิ้นผล ให้ยกคำร้อง ค่าธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260(2) บัญญัติไว้ว่า “ถ้าคดีนั้นศาลตัดสินให้โจทก์ชนะ คำสั่งนั้นคงมีผลต่อไปจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นเท่าที่จำเป็นเพื่อบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น แต่ถ้าโจทก์มิได้ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนดสิบห้าวัน นับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับเพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ถือว่าคำสั่งนั้นเป็นอันยกเลิกเมื่อสิ้นระยะเวลาเช่นว่านั้น” กรณีนี้พนักงานเดินหมายรายงานว่า ได้ปิดคำบังคับไว้ที่บ้านของจำเลยตามคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2526 คำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำบังคับ กรณีปิดคำบังคับต้องถือว่าจำเลยรับคำบังคับภายหลังปิดคำบังคับ 15 วัน คือวันที่14 กรกฎาคม 2526 จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในวันที่13 สิงหาคม 2526 โจทก์จึงต้องขอหมายบังคับคดีภายในวันที่ 28สิงหาคม 2526 เมื่อโจทก์มาขอให้ศาลแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันที่ 28 กันยายน 2526 จึงเกินกำหนดเวลาที่กฎหมายบังคับไว้ไปถึง1 เดือน คำสั่งให้ยึดที่ดินและบ้านของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาจึงเป็นอันยกเลิก โจทก์จะมาขอให้ศาลแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ได้ยึดไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วหาได้ไม่ การที่โจทก์อ้างว่า โจทก์ได้ติดตามผลของการส่งคำบังคับตลอดมา แต่พนักงานเดินหมายไม่รายงานผลของการส่งคำบังคับต่อศาล ทำให้โจทก์ขอหมายบังคับคดีล่าช้านั้นไม่เป็นข้อแก้ตัวที่จะยกเว้นบทบังคับของกฎหมายดังกล่าวได้เพราะโจทก์อาจขอหมายบังคับคดีไว้ก่อนได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share