คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุตามกฎหมาย จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำการดังโจทก์กล่าวหา ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้แบ่งสินสมรสนั้น เมื่อจำเลยปฏิเสธว่าไม่มีเหตุหย่า ศาลจะต้องวินิจฉัยว่ามีเหตุหย่าตามฟ้องหรือไม่ ถ้าไม่มีเหตุหย่าก็ต้องพิพากษายกฟ้อง โดยไม่ต้องพิจารณาตามฟ้องแย้งของจำเลย ฉะนั้นฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่า ถ้าศาลพิพากษาให้หย่าก็ให้แบ่งสินสมรสจึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ศาลชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้ง.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปี กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงและดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์กับบุพการี ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายละทิ้งร้างจำเลยไปเอง จำเลยไม่เคยประพฤติตามโจทก์กล่าวอ้าง โจทก์กับจำเลยมีที่ดินสินสมรสซึ่งติดจำนองด้วยกันหนึ่งแปลง ขอให้โจทก์แบ่งที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่ง โดยให้โจทก์จำเลยร่วมรับผิดในหนี้จำนองแต่ละฝ่ายเท่ากัน หากโจทก์ไม่ยอมแบ่ง หรือตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้ขายทอดตลาดที่ดินใช้หนี้จำนอง ส่วนที่เหลือแบ่งให้จำเลยกึ่งหนึ่ง
ศาลชั้นต้นตรวจคำให้การและฟ้องแย้งแล้ว มีคำสั่งรับคำให้การจำเลย แต่ไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์ฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุตามกฎหมายจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำการดังโจทก์กล่าวหา ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้แบ่งสินสมรสนั้น เมื่อจำเลยปฏิเสธว่าไม่มีเหตุหย่า ศาลจะต้องวินิจฉัยว่ามีเหตุหย่าตามฟ้องหรือไม่ ถ้าไม่มีเหตุหย่าศาลก็พิพากษายกฟ้องไป ไม่ต้องพิจารณาตามฟ้องแย้งของจำเลย การที่จำเลยฟ้องแย้งว่า ถ้าศาลพิพากษาหย่าก็ให้แบ่งสินสมรสนั้น จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งนั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share