คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 886/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 แม้จำเลยจะฎีกาอ้างอิงข้อกฎหมายมาประกอบ แต่เป็นข้อกฎหมายที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยอื่นหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามฎีกาเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 343, 91, 83
จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 6
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 7 และที่ 8 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง ให้จำคุกคนละ 4 ปียกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 7 ที่ 8
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับบริษัทจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่เกิน 4 ปี คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
ที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกาว่า โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1ไม่สามารถทำกำไรจนสามารถแบ่งปันผลกำไรให้แก่ผู้ร่วมลงทุนได้ถึงร้อยละ 8 ต่อเดือนของเงินซึ่งนำมาลงทุน ทั้งจำเลยที่ 3 ที่ 4มิได้มีหน้าที่หาเงินจากประชาชนและมิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาร่วมลงทุน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานซึ่งเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว และที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกาอ้างอิงข้อกฎหมายมาประกอบก็เป็นข้อกฎหมายที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2หรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาเช่นเดียวกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 3 ที่ 4

Share