คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่ผู้ประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยต่อศาลได้ภายในเวลาที่ศาลกำหนด จนศาลได้มีคำสั่งปรับนายประกันและออกหมายจับจำเลยไปแล้ว ครั้นเมื่อศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้ประกันก็ไม่สามารถนำตัวจำเลยมาศาลได้ เป็นเหตุให้ศาลต้องเลื่อนการอ่านไปและออกหมายจับจำเลยอีก ต่อมาเมื่อศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลยไปแล้ว โดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ ผู้ประกันจึงเพิ่งนำตัวจำเลยมาส่งศาลและขอลดค่าปรับ พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยเจตนาหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา แม้ศาลฎีกาจะพิพากษายกฟ้องโจทก์ก็ไม่ทำให้ผู้ประกันพ้นความรับผิดตามสัญญาประกันไปได้ เพราะผลของคำพิพากษาไม่เป็นเหตุที่จะนำมาประกอบการพิจารณาว่าผู้ประกันผิดสัญญาประกันหรือไม่ ทั้งการไม่ได้ตัวผู้กระทำผิดมาพิจารณาพิพากษาไม่ว่าจำเลยจะต้องถูกลงโทษหรือไม่ก็ตาม ย่อมทำให้เสียหายแก่การยุติธรรม จึงไม่มีเหตุที่จะลดหย่อนค่าปรับให้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 2ชั่วคราวในระหว่างฎีกา ต่อมาศาลชั้นต้นให้ผู้ประกันส่งตัวจำเลยที่ 2ต่อศาล ผู้ประกันมิได้ส่งตัวตามกำหนดนัด ศาลชั้นต้นจึงปรับผู้ประกันและออกหมายจับจำเลยที่ 2 ครั้นศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาผู้ประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยที่ 2 ต่อมาศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลยโดยชอบแล้ว ผู้ประกันจึงยื่นคำร้องขอมอบตัวจำเลยที่ 2 และขอลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุที่จะลดค่าปรับให้ยกคำร้องและปล่อยตัวจำเลยที่ 2 ไป ผู้ประกันอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ประกันฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ประกันส่งตัวจำเลยที่ 2 ต่อศาลภายใน 7 วัน ผู้ประกันขอเลื่อนการส่งตัวเป็น60 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตเพียง 15 วัน นับได้ว่าเป็นระยะเวลาเพียงพอที่ผู้ประกันจะสามารถติดตามตัวจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นญาติกับตนให้มาตามกำหนดนัดได้ทัน และเมื่อจะครบกำหนด 15 วัน ผู้ประกันยื่นคำร้องขอเลื่อนการส่งตัวจำเลยที่ 2 อีก 30 วัน อ้างว่าจำเลยที่ 2 ป่วยเป็นโรคประสาท แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง เมื่อครบกำหนดนัดผู้ประกันก็มิได้ส่งตัวจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นจนเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นต้องออกหมายจับจำเลยที่ 2 และปรับผู้ประกันเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน2530 ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้ประกันก็มิได้ส่งตัวจำเลยที่ 2 มายังศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับจำเลยที่ 2 มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาและอ่านคำพิพากษา ศาลฎีกาลับหลังจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2531 เวลา 11 นาฬิกาในวันเดียวกันนั้นเอง ผู้ประกันจึงได้ส่งตัวจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นเมื่อเวลา 14.55 นาฬิกา อ้างว่า จำเลยที่ 2 เดินทางมาไม่ทันเพราะฝนตกหนักเพิ่งเดินทางมาถึงศาลชั้นต้นเมื่อเวลาใกล้จะ12 นาฬิกาแล้ว พฤติการณ์เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2มีเจตนาที่จะหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ส่วนผลของคำพิพากษาศาลฎีกาจะเป็นเช่นไรนั้น ไม่เป็นเหตุที่จะนำมาประกอบการพิจารณาว่าผู้ประกันผิดสัญญาประกันหรือไม่ เพราะการไม่ได้ตัวจำเลยมาทำการพิจารณาพิพากษา ไม่ว่าจำเลยจะต้องถูกลงโทษหรือไม่ก็ตาม ย่อมทำให้เสียหายแก่การยุติธรรม ดังนั้นแม้ศาลฎีกาจะพิพากษากลับยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้ผู้ประกันพ้นจากความรับผิดตามสัญญาประกันแต่อย่างใด และการที่ผู้ประกันนำจำเลยที่ 2 มาส่งศาลชั้นต้นหลังจากที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 2 เป็นเวลาถึง8 เดือนเศษ ทั้งเป็นเวลาภายหลังจากที่ทราบผลคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะลดหย่อนค่าปรับตามสัญญาประกันแก่ผู้ประกันอีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยไม่ลดค่าปรับให้ผู้ประกันนั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ประกันฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share