แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินตามฟ้องและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และออกคำบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการออกไปจากที่ดินและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ การที่จำเลยยื่นฟ้องโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่ง ขอให้โจทก์กับพวกขายที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยตามข้อตกลงในสัญญาเช่านั้น หากจำเลยชนะคดีจำเลยก็มีสิทธิเพียงบังคับให้โจทก์กับพวกขายที่ดินให้จำเลย คดีทั้งสองจึงมีวัตถุแห่งหนี้เป็นคนละอย่างต่างกัน โดยไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ ไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 293.
การออกคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้งดการบังคับคดีตามป.วิ.พ. มาตรา 293 หรือไม่ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลต้องทำกาไต่สวนก่อน แต่ตามมาตรา 21(4) ศาลก็มีอำนาจทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควรก่อนมีคำสั่งได้ เมื่อกรณีตามคำร้องของจำเลยไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีจึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะทำการไต่สวน.
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์และศาลชั้นต้นพิพากษาและออกคำบังคับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีโดยอ้างว่า ตามสัญญาเช่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์กับพวกขายที่ดินตามฟ้องให้จำเลย และจำเลยได้ฟ้องโจทก์กับพวกแล้ว ถ้าจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีนั้นจำเลยก็ไม่ต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปจากที่ดินตามฟ้องคดีนี้เพราะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ ในวันนัดโจทก์แถลงว่าไม่ควรงดบังคับคดี จำเลยแถลงยืนยันตามคำร้อง ศาลชั้นต้นฟังคำแถลงแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยฎีกาว่า วัตถุแห่งหนี้ในคดีนี้กับในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 25089/2528 ของศาลแพ่งเป็นอย่างเดียวกัน สามารถหักกลบลบหนี้กันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 นั้น เห็นว่า แม้ที่ดินตามฟ้องในคดีนี้กับที่ดินตามฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 25089/2528 ของศาลแพ่งจะเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่คดีนี้เป็นเรื่องจำเลยเช่าที่ดินตามฟ้องจากบิดาโจทก์ เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว โจทก์ผู้รับมรดกได้ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการออกไปจากที่ดินตามฟ้องและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 25089/2528 ของศาลแพ่ง หากจำเลยชนะคดีจำเลยก็มีสิทธิเพียงบังคับให้โจทก์ (ในคดีนี้) กับพวกขายที่ดินให้จำเลย วัตถุแห่งหนี้เป็นคนละอย่างต่างกัน โดยสภาพไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลควรทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยเสียก่อนที่จะมีคำสั่งยกคำร้อง เพราะคำร้องของจำเลยมีเหตุที่สมควรจะไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 (4) และการที่ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาสอบถามโจทก์จำเลยเกี่ยวกับคำร้องของจำเลย (ลงวันที่ 5 มีนาคม 2529 ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่9 เมษายน 2529) มิได้เป็นการไต่สวนนั้น เห็นว่าการออกคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้งดบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 หรือไม่ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลจะต้องทำการไต่สวนเสียก่อน แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 (4)ศาลก็มีอำนาจทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควรก่อนมีคำสั่งได้ ในปัญหาว่า คำร้องของจำเลยลงวันที่ 5 มีนาคม 2529 ซึ่งเป็นคำขอให้งดบังคับคดี มีเหตุสมควรที่ศาลจะทำการไต่สวนหรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาแล้วว่า กรณีตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 ได้ จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะทำการไต่สวน เมื่อไม่มีเหตุสมควรจะทำการไต่สวนแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาสอบถามโจทก์จำเลยเกี่ยวกับคำร้องของจำเลยดังกล่าวดังรายละเอียดที่ศาลฎีกายกขึ้นกล่าวในตอนต้นแห่งคำพิพากษานี้เป็นการไต่สวนหรือไม่…”
พิพากษายืน