คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับ ศ. มีอาวุธปืนชนิดร้ายแรงคนละกระบอกมิได้ร่วมกันไปกระทำความผิดอื่น เมื่อถูกเจ้าพนักงานล้อมจับ ต่างก็วิ่งหลบหนีเจ้าพนักงานเพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยต่างคนต่างไปแม้จะไปในทิศทางเดียวแต่ไปคนละทีและไปห่างกัน การที่ ศ.ใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานที่เข้าจับกุมโดยจำเลยมิได้ใช้อาวุธปืนยิงด้วย จึงเป็นการกระทำเฉพาะตัวของ ศ. จำเลยไม่มีความผิดฐานร่วมกับ ศ. กระทำผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 55, 78 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ 7)พ.ศ. 2522 มาตรา 6, 8 กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2522)ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 140, 289(2), 80, 83, 91 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514ข้อ 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และนับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่1382/2529 คดีอาญาหมายเลขดำที่ 1707/2529 และ 1717/2529 ของศาลชั้นต้นกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ ท.4/2529 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 5(ศาลจังหวัดสงขลา)
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 55, 78 ที่แก้ไขแล้ว กฎกระทรวง ฉบับที่ 11ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138,140, 289(2), 80, 83, 91 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 4 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4เรียงกระทงลงโทษ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140,289(2), 80, 83 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2), 80, 83 ประกอบมาตรา 52ที่แก้ไขแล้วซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 วางโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วางโทษจำคุกจำเลย 4 ปี จำเลยนำสืบรับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุและมีอาวุธปืน เอช.เค. เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ประกอบมาตรา 53 ที่แก้ไขแล้ว จำคุกจำเลยมีกำหนด 40 ปี 6 เดือนนับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1382/2529 และที่1925/2530 ของศาลชั้นต้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา138, 140, 289(2) เมื่อลดโทษให้จำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แล้วคงจำคุกจำเลย 3 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่อีกกระทงหนึ่งดังโจทก์ฎีกาหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจชากอน ดวงจันทร์ และจ่าสิบตำรวจสุบงค์ เหมทานนท์ผู้เสียหายทั้งสองมาเบิกความว่า เมื่อจำเลยกับนายเศียร ยูงทองวิ่งลงจากบ้านเพื่อหลบหนีนั้น จำเลยถืออาวุธปืน เอช.เค. ส่วนนายเศียร ยูงทอง ถืออาวุธปืนคาร์ไบน์หรือคาร์บิน คนละกระบอกเมื่อจ่าสิบตำรวจชากอนตะโกนบอกว่านี่เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมมอบตัวเสียโดยดี จำเลยกับนายเศียรยิงอาวุธปืนมาทางพยานทั้งสองประมาณ3-4 นัด แต่กระสุนไม่ถูกใคร หลังจากนั้น จำเลยกับนายเศียรวิ่งไปทางทิศตะวันออกของบ้านซึ่งเป็นป่าสวนยางห่างจากบ้านประมาณ 13 เมตรจำเลยกับนายเศียรยิงอาวุธปืนมาทางพยานทั้งสองอีกประมาณ 10 นัดพยานทั้งสองจึงช่วยกันยิงป้องกันตัวไปประมาณ 2-3 นัด นานประมาณ15 นาที เสียงอาวุธปืนฝ่ายจำเลยสงบลง และปรากฏตามคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจสุบงค์ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1473/2527 ว่านายเศียร ยูงทอง เป็นคนยิงเพียงคนเดียว พยานกับจ่าสิบตำรวจชากอนจึงยิงโต้ตอบไปประมาณ 20 นัด จึงไม่ตรงกับที่เบิกความในคดีนี้ อย่างไรก็ดีเมื่อพยานทั้งสองกับพวกที่มาถึงภายหลังเข้าตรวจพื้นที่ ตรวจพบปลอกกระสุนปืนคาร์ไบน์ 7 ปลอก อาวุธปืนคาร์ไบน์1 กระบอก ซองกระสุนปืน 1 ซอง กระสุนปืนคาร์ไบน์ 4 นัด ตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.1 ไม่ปรากฏว่าพบปลอกกระสุนปืน เอช.เค.เลย แสดงว่าจำเลยมิได้ยิงอาวุธปืนเลย หากจำเลยยิงก็จะต้องตรวจพบปลอกกระสุนปืน เอช.เค. ที่จำเลยถือพาหนีไปอย่างแน่นอน ที่โจทก์ฎีกาว่า พนักงานสอบสวนอาจตรวจสถานที่เกิดเหตุไม่ละเอียดรอบคอบพอจึงไม่พบปลอกกระสุนปืน เอช.เค.ด้วย หรือจำเลยอาจเอาปลอกกระสุนปืนทิ้งไปในคลองพร้อมอาวุธปืน เอช.เค.ของจำเลยก็อาจเป็นได้นั้นก็เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ในทางเป็นผลร้ายแก่จำเลยเพราะจำเลยกำลังหนีการจับกุมและถูกเจ้าพนักงานยิงโต้ตอบไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะมัวมาเก็บปลอกกระสุนปืนของตนไปด้วย จึงไม่อาจเป็นดังโจทก์ฎีกาได้ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า แม้จำเลยจะไม่ได้ยิง แต่ตามพฤติการณ์ที่จำเลยกับนายเศียรมีอาวุธปืนชนิดร้ายแรงคนละกระบอกต่างก็หลบหนีเจ้าพนักงานไปด้วยกัน และเมื่อถูกเจ้าพนักงานล้อมจับได้กระโดดลงจากบ้านพร้อมอาวุธปืน ไม่ยอมให้จับ แล้วใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ขัดขวางกระสุนปืนถูกที่เจ้าพนักงานกำบังอยู่ จำเลยกับนายเศียรได้ร่วมกันมาตั้งแต่ต้นแล้ว จำเลยจึงมีความผิดรับโทษเสมือนตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 นั้น เมื่อฟังได้ว่า จำเลยมิได้ใช้อาวุธปืนยิงพยานโจทก์ทั้งสองดังวินิจฉัยมาแล้ว แม้จำเลยกับนายเศียรจะอยู่ด้วยกันที่บ้านบิดาจำเลย ก่อนที่พยานโจทก์ทั้งสองกับพวกจะไปถึงแต่ก็ไม่ได้ความว่า จำเลยกับนายเศียรและพวกจะร่วมกันไปกระทำความผิด เพียงแต่เมื่อพยานโจทก์ทั้งสองกับพวกเข้าล้อมบ้านจะจับกุม จำเลยกับ นายเศียรและพวกต่างคนต่างวิ่งลงจากบ้านเพื่อหนีให้รอดพ้นจากการถูกจับกุม โดยต่างคนต่างไป แม้จะไปในทิศทางเดียวกันก็น่าเชื่อว่าไปคนละทีและไปห่างกัน เพราะมีแต่นายเศียรคนเดียวถูกกระสุนปืนของเจ้าพนักงานจนได้รับบาดเจ็บถึงกับต้องทิ้งอาวุธปืนคาร์ไบน์หากจำเลยไปพร้อมนายเศียร จำเลยก็น่าจะถูกกระสุนปืนของเจ้าพนักงานบ้าง เพราะยิงโต้ตอบไปถึง 20 กว่านัดการยิงเจ้าพนักงานหรือพยานโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการกระทำเฉพาะตัวของนายเศียร ซึ่งนายเศียรก็ให้การรับสารภาพ และถูกศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้ร่วมกับนายเศียรยิงด้วย เพราะต่างคนต่างมุ่งหลบหนีจากการถูกจับกุมไม่เหมือนกับกรณีที่ร่วมกันไปกระทำความผิด ซึ่งต้องมีการตกลงร่วมคบคิดกันมาก่อนที่จำเลยนำสืบว่า ไม่ได้กระทำผิดในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่เป็นการกระทำของนายเศียรเพียงคนเดียว นั้น มีเหตุผลฟังได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวนี้ ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share