คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5173/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คู่ความแถลงร่วมกันว่าคดีนี้เกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งโดย จ.เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้และ พ.เป็นจำเลยและจำเลยร่วมคดีนี้เป็นโจทก์ร่วม อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของราชพัสดุ ข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันหากผลของคดีดังกล่าวปรากฏว่า จ.เป็นฝ่ายชนะคดี โจทก์จะถอนฟ้องจำเลยคดีนี้ เป็นคำแถลงที่ไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย คู่ความจึงต้องผูกพันตามคำแถลงดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำท้าว่าหาก จ.ชนะคดีโจทก์ในคดีนั้นโจทก์ก็จะถอนฟ้องคดีนี้ เมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จ.ชนะคดี โจทก์ยังแถลงขอถอนข้อหาส่วนอาญา ให้ตัดสินตามคำท้าโดยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีดังกล่าวมิได้ครอบคลุมถึงที่พิพาทในคดีนี้ทั้งหมด โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า ที่โจทก์ฎีกาว่าสัญญาเช่าที่ดินระหว่างจำเลยและจำเลยร่วมเป็นโมฆะ โจทก์ยังมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวเป็นคูเมือง แต่ส่วนที่ เหลือกว้าง 12 วาเป็นที่ดินชานกำแพงเมืองอยู่ในความครอบครองของโจทก์ จำเลยรับว่าปลูกเรือนในที่พิพาทก่อนขอเช่าที่พิพาทจากจำเลยร่วมจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น โจทก์จะยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 84, 362, 365 และขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ยกฟ้องคดีส่วนอาญาคงรับฟ้องคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ส่วนอาญาไว้พิจารณาจำเลยให้การว่าไม่ได้บุกรุก ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นคูเมืองและกำแพงเมืองจำเลยเช่าจากกระทรวงการคลัง ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นเรียกกระทรวงการคลังเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ระหว่างพิจารณาคู่ความแถลงว่าคดีเกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 203/2519 หากนายเจียรโจทก์ในคดีดังกล่าวชนะคดีโจทก์จะถอนฟ้องจำเลยคดีนี้ ต่อมาคดีดังกล่าว ศาลฎีกาพิพากษาให้นายเจียรชนะคดีโจทก์จึงขอถอนข้อหาส่วนอาญา และให้ศาลตัดสินตามคำท้า
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2522 คู่ความแถลงร่วมกันว่า คดีนี้เกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 203/2519 ของศาลชั้นต้น โดยนายเจียร นิลอุบล เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้และนายพิศ แผ่เต็มเป็นจำเลยและจำเลยร่วมคดีนี้เป็นโจทก์ร่วม อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของราชพัสดุจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้อเท็จจริงอย่างเดียวกัน หากผลของคดีดังกล่าวปรากฏว่านายเจียรเป็นฝ่ายชนะคดี โจทก์จะถอนฟ้องจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคำแถลงที่ไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย คู่ความจึงต้องผูกพันตามคำแถลงดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นคำท้าว่าหากนายเจียรชนะคดีโจทก์ในคดีนั้น โจทก์ก็จะถอนฟ้องคดีนี้ ครั้นคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฎีกาพิพากษาให้นายเจียรชนะคดี โจทก์ยังแถลงอีกตามรายงานกระบวนพิจารณา วันที่ 13พฤศจิกายน 2528 ว่า ขอถอนข้อหาส่วนอาญา ให้ตัดสินตามคำท้าโจทก์มิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างแต่อย่างใดว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีดังกล่าวมิได้ครอบคลุมถึงที่พิพาทในคดีนี้ทั้งหมด โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า สัญญาเช่าที่ดินระหว่างจำเลยและจำเลยร่วมเป็นโมฆะก็ดี โจทก์ยังมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี ที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวมีส่วนที่เป็นคูเมืองกว้างประมาณ 10 วา เป็นที่ราชพัสดุส่วนที่เหลือกว้าง 12 วา เป็นที่ดินชานกำแพงเมืองเป็นที่ดินในครอบครองของโจทก์ก็ดี และจำเลยได้ยอมรับต่อศาลชั้นต้นแล้วว่าจำเลยเข้าไปปลูกเรือนในที่พิพาทก่อนขอเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น โจทก์จะยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน

Share