คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเลิกสัญญาเช่าที่ดินตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นั้น เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือต่อผู้เช่า กับส่งสำเนาหนังสือนั้นต่อประธาน คชก. ตำบล และประธาน คชก. ตำบล ได้แจ้งให้ผู้เช่าทราบถึงการบอกเลิกการเช่าดังกล่าวแล้ว แต่ผู้เช่าไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่านั้นต่อ คชก. ตำบล คชก. ตำบลก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณาวินิจฉัยการบอกเลิกการเช่า กรณีเช่นนี้ผู้ให้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องผู้เช่าต่อศาลได้โดยตรง ไม่ถือว่าปฏิบัติผิดขั้นตอนของกฎหมาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกบ้านและทำไร่แต่จำเลยค้างชำระค่าเช่า และให้ผู้อื่นเข้าทำประโยชน์ในที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการผิดสัญญาเช่า ทั้งจำเลยยังทำประโยชน์ในที่ดินน้อยกว่าร้อยละเจ็ดสิบห้าของเนื้อที่ดินที่เช่าด้วย โจทก์จึงได้บอกเลิการเช่าตามกฎหมายและขอให้จำเลยออกไปจากที่ดิน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่
จำเลยให้การว่า ไม่ได้ผิดสัญญาเช่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ โดย คชก. ตำบลและจังหวัดยังไม่ได้มีคำวินิจฉัย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพืชผลทุกชนิดออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ได้ให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทเพื่ออยู่อาศัยและทำไร่เนื่อที่ 20 ไร่ โดยทำสัญญาเช่าครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2521 คิดค่าเช่าไร่ละ 100 บาท ต่อปี เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าครั้งแรกแล้ว เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2525 โจทก์ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวต่อไปอีกมีกำหนด 3 ปีปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2527โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าที่ดินดังกล่าวต่อจำเลย ตามเอกสารหมาย จ.5, จ.6 และส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวต่อนายประหยัด หมื่นชำนาญ กำนันตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อจังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นประธาน คชก. ตำบลในท้องที่ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ตามเอกสารหมาย จ.7, จ.8 และนายประหยัดได้แจ้งเรื่องที่โจทก์ขอบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยไม่ได้คัดค้านการบอกเลิการเช่าที่ดินของโจทก์ และคชก. ตำบลยังไม่ได้มีมีการพิจารณาหรือมีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้แต่อย่างใด ปัญหาที่ต้องพิจารณาประการแรกก็คือ การที่จำเลยไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่าที่ดินของโจทก์ และ คชก. ตำบลยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว จะทำให้โจทก์ผู้ให้เช่าไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยผู้เช่าดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่ผู้เช่าไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่าต่อ คชก. ตำบลนั้น ตามพระราชบัญญติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นอกจากจะไม่ได้บัญญัติในเรื่องนี้ให้ดำเนินการต่อไปแต่อย่างใดแล้ว มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวยังกำหนดอำนาจหน้าที่ของ คชก. ตำบลไว้ดังนี้ ‘ฯลฯ(2)พิจารณาวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าเช่า การชำระค่าเช่า ระยะเวลาของการเช่าตลอดจนข้อพิพาทอื่นหรือค่าเสียหายอันเกิดจากการเช่าตามคำร้องขอของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ฯลฯ’ จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า คชก. ตำบลจะมีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยเฉพาะในกรณีที่มีคำร้องขอของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าเท่านั้น แต่ในคดีนี้จำเลยไม่ได้คัดค้านการบอกเลิกการเช่าของโจทก์ต่อ คชก. ตำบล ทั้งสำเนาหนังสือการบอกเลิกการเช่าที่โจทก์ส่งต่อประธาน คชก. ตำบลก็เป็นเพียงการแจ้งให้ประธาน คชก. ตำบลทราบเพื่อประธานคชก. ตำบลจะได้แจ้งให้จำเลยทราบตามกฎหมายเท่านั้นถือไม่ได้ว่าเป็นคำร้องของโจทก์ ดังนั้น การที่จำเลยไม่ได้คัดค้านการบอกเลิกการเช่าของโจทก์ต่อ คชก. ตำบล จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผู้ให้เช่าและจำเลยผู้เช่าไม่ได้มีคำร้องขอต่อ คชก. ตำบลตำบล คชก. ตำบล จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณาวินิจฉัยการบอกเลิกการเช่าของโจทก์ นอกจากนี้หากพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ประสงค์จะให้ คชก. ตำบลต้องพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องที่ผู้เช่าไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่าด้วยแล้ว ความในวรรคแรกของมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ว่าถ้าผู้เช่านาคัดค้านการบอกเลิกการเช่านา ก็หาจำต้องบัญญัติไว้ไม่ เมื่อ คชก.ตำบลไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยแล้ว กรณีเช่นนี้ จึงไม่จำต้องใช้บทบัญญัติของมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาใช้บังคับต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น…..
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น…..

Share