คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2474/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยไปทวงเงินที่ผู้เสียหายเป็นหนี้ จ. ผู้เสียหายไม่มีให้จำเลยจึงใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้เสียหายมอบทรัพย์ให้ แม้จำเลยจะกระทำเพื่อทวงหนี้แทน จ. และพูดว่าเมื่อผู้เสียหายมีเงินเมื่อไรให้ไปไถ่คืน ก็ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยเจตนาทุจริต เพราะจำเลยไม่มีอำนาจเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยพลการและโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเช่นนั้นได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์และเมื่อเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แล้ว ย่อมไม่มีความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและใช้รถยนต์เป็นพาหนะ จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง340 ตรี จำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯจำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 18 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 โจทก์และจำเลยที่ 4 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสองจำคุก 6 เดือนและปรับ 10,000 บาท ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปีปรับ 5,000 บาท ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือนและปรับ 5,000 บาทรวมจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท จำเลยที่ 4 อายุ 19 ปี และเป็นนักศึกษาทั้งพฤติการณ์คดีไม่ร้ายแรง ให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังจากพยานหลักฐานของโจทก์ได้ว่า จำเลยที่ 4 ไปทวงเงินที่นายนนท์ กลินทะ ผู้เสียหายเป็นหนี้นางสาวจูหรือกมลรัตน์ โรจนโรวรรณ อยู่ นายนนท์ไม่มีให้จำเลยที่ 4 จึงชักอาวุธปืนออกมาขู่บังคับให้นายนนท์มอบกีตาร์ไฟฟ้าให้และจำเลยที่ 4 ยังขู่เอาสร้อยข้อมือของนางมลิดา มีพานทองผู้เสียหาย ซึ่งเป็นภริยาของนายนนท์ไปด้วย คงมีปัญหาในชั้นฎีกาตามฎีกาของโจทก์เพียงว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 4ใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้เสียหายมอบทรัพย์ให้ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้อาวุธปืนยิงเพื่อให้ผู้เสียหายยื่นทรัพย์ให้และเพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ แม้ว่าจำเลยที่ 4 จะกระทำเพื่อทวงหนี้แทนนางสาวจูหรือกมลรัตน์และพูดว่าเมื่อผู้เสียหายมีเงินเมื่อไรก็ให้ไปไถ่คืนก็ถือว่าเป็นการขู่เข็ญเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 4 โดยเจตนาทุจริตแล้วเพราะจำเลยที่ 4 ไม่มีอำนาจเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยพลการและโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเช่นนั้นได้ จำเลยที่ 4จึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาและเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แล้ว จำเลยที่ 4 ย่อมไม่มีความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา309 วรรคสอง อีก ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสองประกอบกับ มาตรา 340 ตรี จำเลยที่ 4 อายุไม่เกิน20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share