แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ได้รับเงินคืนประกันอากรของลูกค้าโจทก์คืนจากกรมศุลกากรแล้วยักยอกเสีย จำเลยได้ทำบันทึกตกลงรับสภาพหนี้ไว้แก่โจทก์ว่าจะยอมคืนเงินดังกล่าวและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่รับเงินคืนจากกรมศุลกากรจนถึงวันที่ชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น บันทึกความตกลงรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นนิติกรรมซึ่งจำเลยทำขึ้นด้วยความสมัครใจและไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงมีผลบังคับได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างโจทก์มีหน้าที่รับเงินคืนประกันอากรซึ่งกรมศุลกากรเรียกเก็บจากลูกค้าของโจทก์ในการนำสินค้าเข้าและต่อมาได้คืนให้โดยผ่านทางโจทก์ จำเลยทั้งสองรับเงินมาแล้วเบียดบังเอาเสีย โจทก์ต้องชดใช้เงินให้แก่ลูกค้าพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือยอมรับสภาพหนี้ไว้แก่โจทก์แล้วไม่ชดใช้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้เงิน 149,788.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยได้ชดใช้เงินคืนแก่โจทก์แล้วที่โจทก์ไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายอื่นนั้น จำเลยไม่ได้ยินยอมด้วย โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายไปตามอำเภอใจโดยไม่มีหน้าที่ต้องชำระ จึงไม่ผูกพันจำเลย และไม่มีระเบียบว่าจำเลยจะต้องส่งเงินคืนโจทก์เมื่อใดโจทก์จะเรียกดอกเบี้ยไม่ได้ในวันนัดพิจารณา คู่ความแถลงรับกันว่ายอดหนี้ตามฟ้องเหลือเงินต้น 2,211.35 บาท ที่จำเลยทั้งสองยังไม่ได้จ่ายให้ จำเลยยอมรับผิดในส่วนนี้ สำหรับส่วนที่เหลือเป็นดอกเบี้ยจากจำนวนเงินที่โจทก์ต้องชำระให้แก่ลูกค้าแทนไปก่อนในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นเงิน 107,035.30 บาท ซึ่งจำเลยมิได้ตกลงว่าจะชำระให้ด้วยในการรับสภาพนี้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีให้แก่ลูกค้าของโจทก์เป็นการยอมเสียดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการจ่ายไปตามอำเภอใจของโจทก์โดยรู้อยู่ว่าไม่มีความผูกพันต้องชำระจึงฟ้องเรียกจากจำเลยไม่ได้ และโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้เป็นการนอกเหนือจากหนังสือรับสภาพหนี้ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,211.05 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะได้วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินค่าดอกเบี้ยจำนวน 107,035.30 บาทแก่โจทก์หรือไม่ในปัญหาดังกล่าวนี้คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่าเงินค่าดอกเบี้ยจำนวน 137,035.30 บาท เป็นดอกเบี้ยจากเงินจำนวนที่โจทก์ต้องชำระให้แก่ลูกค้าแทนจำเลยทั้งสองไปก่อนในจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสองยักยอกไปหลายจำนวนตามฟ้องโดยจ่ายดอกเบี้ยให้กับลูกค้าร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่จำเลยทั้งสองยักยอกไปจนถึงวันที่โจทก์จ่ายเงินให้แก่ลูกค้า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เกี่ยวกับเงินคืนประกันอากรที่จำเลยทั้งสองยักยอกไปนี้ จำเลยทั้งสองได้ทำบันทึกตกลงรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1ซึ่งความในข้อ ฉ. ระบุว่า “จำนวนเงินคืนประกันอากร ซึ่งข้าพเจ้าทั้งสองตกลงยอมรับผิดต่อบริษัท ตามหนังสือฉบับนี้ข้าพเจ้าทั้งสองตกลงยินยอมชำระดอกเบี้ยให้แก่บริษัทในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับจากวันที่ข้าพเจ้าทั้งสองรับคืนจากกรมศุลกากร จนถึงวันที่ข้าพเจ้าทั้งสองชำระให้แก่บริษัทเสร็จสิ้น” บันทึกความตกลงรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นนิติกรรมซึ่งจำเลยทั้งสองได้ทำขึ้นด้วยความสมัครใจ และไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงมีผลบังคับได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ได้ชดใช้เงินให้แก่บริษัทลูกค้าของโจทก์ไปโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่จำเลยทั้งสองตกลงจะชำระให้โจทก์เป็นเงิน107,035.30 บาท จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ดอกเบี้ยจำนวน 107,035.30 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง