แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยกับ ส. ร่วมกันพูดชักชวนให้ผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศแล้วเรียกเก็บเงินจากผู้เสียหายและไม่ส่งผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศตามที่พูดชักชวนโดยอ้างว่าตั๋วเครื่องบินหมดและรอใบรับรองการทำงาน ดังนี้พฤติการณ์ของจำเลยกับ ส.แสดงโดยแจ้งชัดว่าจำเลยกับ ส. มีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายมาแต่ต้น จำเลยกับ ส. ยังได้ชักชวนคนทั่วไปให้ไปทำงานด้วยจึงเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 343และให้จำเลยคืนเงิน 54,100 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนเงินให้แก่นายทองใบ จันทรเสนา21,100 บาท และให้แก่นายบุดที แสนวันดี 25,100 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พยานโจทก์ทั้งสี่ปากรู้จักจำเลยมาก่อนจำเลยและนายสุรินทร์ซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นสามีได้ไปชักชวนให้นายทองใบและนายบุดทีไปทำงานต่างประเทศ นายประเสริฐกับนายสมศรีตกลงให้บุตรชายไปทำงานต่างประเทศตามคำชักชวนของจำเลย จึงได้นำเงินคนละ 25,100 บาท ไปวางให้นายสุรินทร์และจำเลยที่บ้านจำเลยเอง ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.1, จ.2, จ.3, จ.4 จำเลยซึ่งแสดงออกโดยเปิดเผยว่า นายสุรินทร์เป็นสามี และจำเลยได้ร่วมกับนายสุรินทร์เป็นตัวแทนบริษัท พี.ซี.เอส. หาคนไปทำงานต่างประเทศเมื่อนายทองใบกับนายบุดทีเตรียมตัวเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศตามที่จำเลยชักชวนไว้ ปรากฏว่าครั้งแรกนายสุรินทร์อ้างว่าตั๋วเครื่องบินหมด ไปกลับไปรอที่บ้าน ครั้งที่สองคนที่นำไปรออยู่ที่อำเภอหาดใหญ่เพื่อไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์อ้างว่ารอใบรับรองการทำงาน แต่ก็ไม่ได้ใบรับรองการทำงาน นายทองใบกับนายบุดทีต้องเดินทางกลับบ้าน เมื่อพยานโจทก์ทั้งสี่ไปทวงเงินคืนจำเลยก็ขอผัดไปเรื่อย ๆ จนเมื่อนายทองใบจะบวชเป็นพระภิกษุ ภรรยานายน้อมจึงได้คืนเงินให้ 4,000 บาท ส่วนที่เหลือไม่ได้คืนเชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความตามจริง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ พยานจำเลยที่นำสืบว่าจำเลยไม่ได้พูดชักชวนผู้เสียหายให้ไปทำงานที่ต่างประเทศ ไม่มีน้ำหนักพอหักล้างพยานโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกับนายสุรินทร์ร่วมกันพูดชักชวนให้ผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ต่างประเทศ แล้วเรียกเก็บเงินจากผู้เสียหายและไม่ส่งผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ต่างประเทศตามที่พูดชักชวนโดยอ้างว่าตั๋วเครื่องบินหมดและรอใบรับรองการทำงาน พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกแสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสองมาแต่ต้น และได้ความจากนายทองใบพยานโจทก์ว่า เมื่อจำเลยพาไปฝึกงานที่วัดป่ากิ่งอำเภอไชยวานก่อนนัดส่งไปทำงานนั้น นายทองใบพบคนที่กิ่งอำเภอไชยวานไปฝึกงานด้วย ตอนที่นายน้อมพอไปกรุงเทพมหานครเพื่อเตรียมไปประเทศสิงคโปร์ มีคนในหมู่บ้านเดียวกับพยานคนหนึ่งและคนต่างอำเภออีกหลายคนไปด้วยกัน กับได้ความจากนายประเสริฐพยานโจทก์ว่า จำเลยเคยไปหาคนงานที่หมู่บ้านพยานบ่อย ๆ มีคนไปฝึกงานที่วัดป่าหลายคนไม่ทราบว่าเป็นคนหมู่บ้านใด โดยนายบุญมี ประสมศรี พยานจำเลยก็เบิกความเจือสมกับพยานโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยเคยชักชวนคนไปทำงานที่ต่างประเทศ โดยไปชวนคนที่อยู่บ้านใกล้ ๆ กัน พยานถามจำเลยว่าไปไหน จำเลยว่าจะหาคนไปนอก ฟังได้ว่านอกจากชักชวนผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานแล้ว จำเลยกับพวกยังได้ชักชวนคนทั่วไปให้ไปทำงานด้วย การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชน จำเลยต้องมีความผิดตามฟ้อง ที่โจทก์ขอให้คืนเงินจำนวน 54,100 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง ปรากฏว่านายทองใบได้รับเงินคืน 4,000 บาทแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินให้นายทองใบเพียง 21,100 บาท ส่วนนายบุดดีหรือบุดทีไม่ได้รับเงินคืนเลย จำเลยจึงต้องค้นเงินเต็มตามเอกสารหมายจ.3 และ จ.4 จำนวน 25,100 บาท ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก, 83 นอกจากนี้ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น