คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนรถยนต์และเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับ หากศาลไม่ให้ทุเลาการบังคับก็ขอให้กำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่ให้โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนได้ โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนไปแล้ว ดังนี้เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิได้รับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่ได้รับรถคืนไปเท่านั้น จะอ้างว่านำรถยนต์ไปเก็บรักษาตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ปฏิบัติมิได้รับรถยนต์ตามคำพิพากษาและขอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในเวลาต่อมานั้นไม่ได้ การที่จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ไปเก็บรักษาเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ จำนวน 2 คัน และชดใช้ค่าขาดประโยชน์วันละ10,000 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะคืนรถยนต์ให้โจทก์และเรียกค่าเสียหายอื่น ๆ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสอง แต่ยกคำขออื่นของโจทก์ โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ได้ขอทุเลาการบังคับแต่ถ้าศาลเห็นสมควรให้โจทก์รับรถยนต์ดังกล่าวคืนก็ขอให้โจทก์นำหลักทรัพย์มาวางประกัน ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่กำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์โดยให้โจทก์หาหลักประกันมาวางแล้วให้คืนรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์โจทก์ได้นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์ดังกล่าวคืนไปเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2524 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาเฉพาะค่าขาดประโยชน์ยืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถยนต์ดังกล่าวคันละ 20,000 บาทต่อเดือนให้โจทก์ทั้งสองนับแต่วันที่ 14 กันยายน 2522 จนถึงวันที่จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่อศาลชั้นต้นโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 ยังชำระหนี้ไม่ครบตามคำพิพากษาโดยไม่นำเงินค่าขาดประโยชน์หลังจากวันที่ 6พฤศจิกายน 2524 มาวางศาล แม้โจทก์ทั้งสองจะได้รับรถยนต์ดังกล่าวคืนมาก็ไม่อาจนำรถยนต์ดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้ และยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ยอมคืนรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองแล้ว ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยที่ 1 แถลงถึงวันที่จะนำค่าขาดประโยชน์มาชำระด้วย จำเลยที่ 1 แถลงว่าได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว การที่โจทก์ไม่นำรถไปใช้ประโยชน์เป็นเรื่องของโจทก์เข้าใจผิดเองขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ได้คืนรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองแล้วถือว่าได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว โจทก์ไม่อาจเรียกค่าขาดประโยชน์ได้อีก ให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าโจทก์รับรถยนต์พิพาททั้งสองคันจากจำเลยที่ 1 ตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่กำหนดวิธีการให้โจทก์ปฏิบัติ มิได้รับรถยนต์พิพาททั้งสองคันตามคำพิพากษานั้นเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์พิพาททั้งสองคันให้แก่โจทก์ที่ 1ที่ 2 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษาโดยได้กล่าวในคำร้องว่าถ้าหากศาลเห็นควรให้โจทก์รับรถยนต์ทั้งสองคันคืนไปก็ขอได้สั่งให้โจทก์นำหลักทรัพย์เท่าที่ศาลเห็นสมควรมาวางประกันไว้ต่อศาลแล้ว จึงรับรถยนต์ดังกล่าวไปได้คำร้องดังกล่าวของจำเลยที่ 1 มีความหมายอยู่ในตัวว่าถ้าโจทก์นำหลักทรัพย์ตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดมาวางก็ให้โจทก์รับรถยนต์ไปได้ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ก็สั่งเพียงว่า’ฯให้โจทก์ ฯ หาหลักประกันมาวางตามกำหนดเวลาจนเป็นที่พอใจของศาลชั้นต้น ก็ให้คืนรถทัวร์ทั้งสองคันให้โจทก์ทั้งสองไป’ เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นคำร้องของจำเลยที่ 1หรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ล้วนแต่มิได้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่าเมื่อโจทก์รับรถยนต์ไปแล้วจะนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ถ้าการมอบรถยนต์พิพาททั้งสองคันให้โจทก์ไปมีความหมายเพียงว่าให้โจทก์รับรถยนต์ไปเก็บรักษาแต่อย่างเดียวดังโจทก์อ้างแล้วกรณีก็เท่ากับโจทก์เป็นผู้รักษาทรัพย์รายนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ศาลจะต้องเรียกหลักประกันจากโจทก์ผู้รักษาทรัพย์ไว้ ที่โจทก์อ้างว่าเมื่อโจทก์รับรถยนต์พิพาททั้งสองคันไปจากจำเลยที่ 1 แล้วได้นำไปเก็บรักษาไว้เพียงอย่างเดียวไม่ได้นำออกใช้ประโยชน์นั้น หากเป็นจริงก็เป็นความเข้าใจผิดและเป็นความสมัครใจที่จะปฏิบัติเช่นนั้นของโจทก์เอง จะนำมาปรับเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 เพื่อเรียกค่าเสียหายเอาจากจำเลยที่ 1 อีกหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาครบถ้วนแล้ว
พิพากษายืน.

Share