คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองการคัดค้านการบังคับคดีต้องกระทำก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงเมื่อการบังคับคดีได้เสร็จลงไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดและการขายทอดตลาด โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดต่อโจทก์เพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันละเมิดต่อโจทก์โดยฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นชอบที่จะฟังพยานหลักฐานจากการสืบพยานทั้งสองฝ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องละเมิดเสียก่อนว่า ฟ้องโจทก์รับฟังได้หรือไม่ และจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดหรือไม่เพียงใดการที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยและมีคำพิพากษาจึงไม่ชอบศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถแทรกเตอร์ไถนาคันที่ถูกยึดและขายทอดตลาดไปในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1166/2527จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีดังกล่าวได้ยึดรถแทรกเตอร์ไถนาของโจทก์โดยไม่สุจริตและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเพราะรถแทรกเตอร์ไถนานั้นไม่ใช่ของจำเลยในคดีดังกล่าว จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ในการยึดโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 3ซึ่งเป็นกรมในรัฐบาลได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่แทนจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย ขอให้เพิกถอนการยึดและการขายทอดตลาดและให้จำเลยทั้งสามคืนรถแทรกเตอร์ไถนาให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาและค่าเสียหาย จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำการยึดทรัพย์ตามฟ้องโดยสุจริตและโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 กระทำการตามอำนาจหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานบังคับคดีตามขั้นตอนและบทบัญญัติของกฎหมายโดยปราศจากความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้ร่วมรู้เห็นเป็นใจกันในการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดทรัพย์โดยฝ่าฝืนกฎหมายจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ดังนั้นจำเลยที่ 3 ซึ่งได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่แทนจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคำให้การจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 คำแถลงของคู่ความเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้แล้ว มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสาม พิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสามต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยที่ 2ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหามีว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสามชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันยึดและขายทอดตลาดรถแทรกเตอร์ไถนาของโจทก์โดยไม่สุจริตและด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การกระทำของจำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1ที่ 2 จะต้องรับผิดคืนทรัพย์ให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ก็ต้องชดใช้ราคาและค่าเสียหาย จำเลยที่ 3 ซึ่งได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2ปฏิบัติหน้าที่แทนจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย ขอให้เพิกถอนการยึดและการขายทอดตลาดตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การบังคับคดีได้เสร็จลงไปแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดหลังจากที่การบังคับคดีได้เสร็จลง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดและการขายทอดตลาดฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดต่อโจทก์เพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันละเมิดต่อโจทก์โดยฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นชอบที่จะฟังพยานหลักฐานจากการสืบพยานทั้งสองฝ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องละเมิดเสียก่อนว่าฟ้องโจทก์รับฟังได้หรือไม่ และจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดหรือไม่เพียงใด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสามไปทั้งหมดนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสามแล้วพิพากษาใหม่เฉพาะข้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องละเมิดและค่าเสียหายเท่านั้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share