คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 328/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์ของจำเลยจอดอยู่ที่แฟลตที่จำเลยพัก ประตูรถทั้งสี่และที่เก็บของท้ายรถปิดล็อกกุญแจเปิดไม่ได้ จำเลยเอากุญแจมาเปิดประตูรถและที่เก็บของท้ายรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นพบเฮโรอีนและลูกระเบิดของกลางซุกซ่อนอยู่ในที่เก็บของท้ายรถ ฟังได้ว่าเฮโรอีนกับลูกระเบิดของกลางเป็นของจำเลย
ลูกระเบิดของกลางอยู่ในสภาพใช้ทำการระเบิดไม่ได้ เพราะชนวนเสื่อมสภาพ จึงไม่เป็นวัตถุระเบิดและย่อมไม่เป็นเครื่องกระสุนปืนด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในความครอบครอง 1 ลูกและมีเฮโรอีนหนัก 1.73 กรัม ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490มาตรา 4, 7, 55, 72, 78 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 15, 67, 102 และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 67 ลงโทษจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและเบิกความต่อศาลว่าพบของกลางในรถของจำเลยจริง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด2 ปี 8 เดือน ริบของกลาง
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนของกลางเป็นของผิดกฎหมายให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ในวันเกิดเหตุสิบตำรวจโทประสาน นกแย้ม กับพวกได้ไปตรวจค้นรถยนต์เก๋งยี่ห้อโฮลเด้นของจำเลยซึ่งจอดอยู่ที่แฟลตการเคหะแห่งชาติ กิโลเมตรที่ 4 ถนนรามอินทรา พบยาเสพติดให้โทษชนิดเฮโรอีน น้ำหนัก 1.73 กรัม กับลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบอเมริกัน เอ็ม 67 (แบบ 88 บ.67) 1 ลูก ซึ่งอยู่ในสภาพใช้ทำการระเบิดไม่ได้เพราะชนวนเสื่อมสภาพ ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์ เอกสารหมาย จ.3 และ จ.2 ตามลำดับ อยู่ในที่เก็บของท้ายรถยนต์ของจำเลย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าสิบตำรวจโทประสานค้นพบเฮโรอีน กับลูกระเบิดของกลางได้จากภายในที่เก็บของท้ายรถของจำเลย ซึ่งเฮโรอีนทั้งหมดห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ และลูกระเบิดอยู่ในถุงกระดาษซุกซ่อนอยู่ข้างยางอะไหล่ ก่อนจำเลยจะลงมาจากห้องพักบนแฟลตชั้น 4 สิบตำรวจโทประสานกับพลตำรวจชาญเดชหินสูงเนิน พยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ตรวจค้นรถและจับกุมจำเลยได้เบิกความยืนยันว่า ประตูรถของจำเลยทั้งสี่ประตูกับที่เก็บของท้ายรถล็อกกุญแจเปิดไม่ได้ จำเลยเป็นคนเอากุญแจมาเปิดประตูรถและตรงที่เก็บของท้ายรถให้ตรวจค้นแสดงให้เห็นว่าขณะที่จำเลยใช้รถอยู่หรือจอดไว้ที่แฟลตหลังจากเลิกรับจ้างส่งคนโดยสารแล้ว ไม่มีผู้ใดเปิดประตูรถหรือที่เก็บของท้ายรถของจำเลยได้ สิบตำรวจโทประสานกับพลตำรวจชาญเดช พยานโจทก์ทั้งสองไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่า จะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย พยานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าเฮโรอีนกับลูกระเบิดของกลางเป็นของจำเลย ที่จำเลยนำสืบอ้างว่า รถยนต์ของจำเลยมีสภาพเก่ามากกุญแจประตูรถทั้งสี่ประตูล็อกไม่ได้ เวลาจอดรถไว้ที่แฟลตหลังจากเลิกงานแล้ว จำเลยเก็บกุญแจติดเครื่องรถยนต์ไว้ในกระเป๋าสตางค์ ส่วนกุญแจเปิดที่เก็บของท้ายรถและเปิดถังน้ำมันจำเลยเก็บไว้ที่บนหน้าปัดภายในรถ เห็นว่า แม้ว่าจำเลยจะมีนายธีระชัย คงตั้งจิตรซึ่งอ้างว่าเป็นช่างซ่อมรถยนต์ของจำเลยมาเบิกความสนับสนุนแต่จำเลยก็ไม่มีภาพถ่ายรถยนต์ของจำเลยหรือใบทะเบียนรถมาพิสูจน์ให้เห็นว่า รถยนต์ของจำเลยเป็นรถรุ่นไหน มีสภาพเก่าแก่เพียงใด คำของจำเลยกับนายธีระชัย เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย สำหรับกุญแจติดเครื่องรถ กุญแจเปิดที่เก็บของท้ายรถและกุญแจเปิดถังน้ำมันตามปกติควรจะรวมอยู่ในพวงกุญแจเดียวกันเพราะเป็นสิ่งของที่ใช้กับรถเป็นประจำไม่น่าจะแยกออกจากกันไปไว้คนละแห่งและหากว่าประตูรถทั้งสี่ประตูกุญแจล็อกไม่ได้ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง จำเลยก็ไม่น่าจะเอากุญแจเปิดที่เก็บของท้ายรถและกุญแจเปิดถังน้ำมันเก็บไว้บนหน้าปัดภายในรถเพราะเป็นการเสี่ยงต่อการถูกลักน้ำมันในถังและเครื่องมือซ่อมรถหรือยางอะไหล่รถที่เก็บไว้ในที่เก็บของท้ายรถ ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่สมเหตุสมผลรับฟังไม่ได้ และที่จำเลยอ้างว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้ประมาณ 6 หรือ 7 เดือน จำเลยเคยขายรถยนต์ของจำเลยให้นายสมยศ จำปาไทย แต่นายสมยศไม่ชำระเงินให้ครบตามที่กำหนดจำเลยจึงยึดกลับคืนมา แต่ไม่ได้ยึดกุญแจที่มอบให้นายสมยศกลับคืนมาด้วย จำเลยจึงสงสัยว่า นายสมยศจะแกล้งจำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยไม่มีหลักฐานการซื้อขายรถให้นายสมยศมาแสดงต่อศาล และการที่จำเลยสงสัยนายสมยศจะกลั่นแกล้งจำเลยก็เป็นการคาดคะเนของจำเลยเองไม่มีพยานหลักฐานอย่างใดมาสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบจึงไม่มีน้ำหนักพอจะรับฟังไปหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ดังนั้นการที่จำเลยมีเฮโรอีนของกลางอันเป็นยาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี จำเลยจึงมีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง
ส่วนที่จำเลยมีลูกระเบิดของกลางไว้ในครอบครองนั้นข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้อยตำรวจเอกคติ จันทร์สด ผู้ตรวจพิสูจน์ลูกระเบิดของกลางประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมายจ.2 ว่า ลูกระเบิดของกลางอยู่ในสภาพใช้ทำการระเบิดไม่ได้เพราะชนวนเสื่อมสภาพ เช่นนี้เห็นว่า ลูกระเบิดของกลางไม่มีสิ่งที่เหมาะมาทำให้เกิดกำลังดัน หรือไม่มีเชื้อประทุหรือวัตถุอื่นใด อันมีสภาพคล้ายคลึงกันซึ่งใช้หรือทำขึ้นเพื่อให้เกิดการระเบิด จึงไม่เป็นวัตถุระเบิด ทั้งโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นหรือมีพฤติการณ์แวดล้อมว่าจำเลยจะใช้ลูกระเบิดของกลางทำเป็นวัตถุระเบิดอีก โดยทำการเปลี่ยนชนวนให้ใช้การได้ใหม่เพื่อจะให้เกิดระเบิดแล้วจะมีอำนาจทำลายสังหารชีวิตมนุษย์ สัตว์ และทรัพย์สิน ได้แต่ประการใดดังนั้น ในเมื่อลูกระเบิดของกลางไม่เป็นวัตถุระเบิดเสียแล้ว ย่อมไม่เป็นเครื่องกระสุนปืนด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลเป็นบางข้อหา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นเป็นบางส่วน
อนึ่งศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษมายังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษเสียใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคแรก วางโทษจำคุก 4 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 2 ปี 8เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์’.

Share