แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจรับการจ้างกรรมการควบคุมและดำเนินการจ้างซ่อมทำนบดินตามโครงการสร้างงานในชนบทจำเลยได้ประชุมราษฎรในหมู่บ้านตกลงลดค่าจ้างขุดดินซ่อมทำนบดังกล่าวให้น้อยลงกว่าที่มีการอนุมัติเพื่อให้ได้จำนวนดินมากขึ้นให้ทำนบมีความแข็งแรงเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อมาราษฎรได้รับจ้างขุดดินตามที่ได้มีการตกลงกัน จำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารหนังสือขอเบิกเงิน งบใบสำคัญหนังสือรายงานผลการดำเนินการจ้างแรงงาน ใบตรวจรับการจ้างแรงงาน ระบุรายละเอียดค่าแรงงาน จำนวนดินค่าคุมงานต่าง ๆ ให้ตรงกับที่ได้รับอนุมัติและเป็นหลักฐานว่าได้ดำเนินการแล้วเพื่อขอเบิกเงินจากทางราชการมาจ่ายให้แก่ราษฎรผู้รับจ้าง ดังนี้ เมื่อปรากฏว่ายอดเงินที่ระบุในเอกสารทั้งสี่ฉบับตรงกับยอดเงินที่จำเลยได้จ่ายให้แก่ราษฎรไปแล้ว จำนวนดินที่ไม่ตรงกันนั้นก็ขุดได้มากกว่าที่ระบุไว้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดทุจริตได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าว แม้จำนวนดินและจำนวนเงินที่ระบุในเอกสารจะไม่ตรงกับความจริงไปบ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นตามฟ้องจำเลยอื่นซึ่งโจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดจึงไม่ได้กระทำผิดเช่นกันเพราะเมื่อไม่มีการกระทำผิดจึงไม่อาจเกิดการกระทำที่เป็นการสนับสนุนให้กระทำผิดได้เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้ศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอื่นเนื่องจากต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดถึงจำเลยอื่นว่าไม่มีความผิดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งแปดกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกระทง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 162,264, 265, 266, 83, 86, 90, 91 ให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาเงิน 25,697.60 บาทแก่เจ้าของทรัพย์
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 5 ที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 162, 264, 265, 266, 83, 90 ซึ่งแก้ไขแล้วจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 162, 264, 265, 266, 86, 90 ซึ่งแก้ไขแล้ว ลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 5 ที่ 6 ตามมาตรา 147, 151, 83 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกคนละ 6 ปี ลงโทษจำเลยที่ 3ที่ 4 และที่ 7 ตามมาตรา 147, 151, 86 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกคนละ 4 ปี ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคา 25,697.60 บาท แก่เจ้าของทรัพย์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 5 ที่ 6 ไม่มีความผิดตามฟ้องข้อ ก.และ ง. ให้ยกฟ้อง 2 ข้อหาดังกล่าวเสียด้วย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 5 ที่ 6 คนละ 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 5 และที่ 6 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ฎีกาให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายจึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำคุกคนละ 4 ปี ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่7 ทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 5 และที่ 6 ได้ร่วมกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่นำสืบรับกันและไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาว่า จำเลยที่ 2ที่ 5 ที่ 6 เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ที่ 1 และที่ 7 และเป็นกรรมการสภาตำบลกล้วยกว้าง กิ่งอำเภอห้วยทับทัน โดยตำแหน่ง จำเลยที่ 4 เป็นกรรมการสภาตำบลกล้วยกว้างผู้ทรงคุณวุฒิ สภาตำบลกล้วยกว้างได้ประชุมมีมติให้เริ่มโครงการสร้างงานชนบทซ่อมทำนบดินบ้านไฮใหญ่ ตำบลกล้วยกว้างพร้อมทั้งแต่งตั้งจำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 เป็นกรรมการควบคุมงานและดำเนินการจ้างแต่งตั้งจำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 เป็นคณะกรรมการตรวจรับการจ้าง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกำนันและเป็นประธานสภาตำบลกล้วยกว้างโดยตำแหน่งได้มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ให้ดำเนินการตามมติที่ประชุมสภาตำบลแล้ว เฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ 5 ที่6 เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่บริหารงานของสภาตำบลตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการและผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 326 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 11โดยเฉพาะงานในหน้าที่ตามโครงการสร้างงานในชนบทตามที่กล่าวในฟ้องเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2529 จำเลยที่ 2 ได้ประชุมราษฎรในหมู่บ้าน ได้ตกลงลดค่าจ้างขุดดินซ่อมทำนบดังกล่าวเหลืออัตราเดียวคือ ลูกบาศก์เมตรละ 20 บาท เพื่อให้ได้จำนวนเนื้อที่ดินมากขึ้นแต่ใช้เงินเท่าเดิม และระหว่างวันที่ 23 มกราคม 2524 ถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2524 ราษฎรตำบลกล้วยกว้างได้รับจ้างขุดดินซ่อมทำนบดังกล่าวโดยยอมรับค่าจ้างในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 20บาทเพียงอัตราเดียว แล้วทางราชการจังหวัดศรีสะเกษได้เบิกจ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวน 76,640 บาทตามที่สภาตำบลกล้วยกว้างขอเบิกโดยมีหลักฐานการจ่ายเงินตามแบบพิมพ์ กสช.7 ซึ่งมีผู้รับจ้างลงลายมือชื่อรับเงินและจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่7 ลงลายมือชื่อรับรอง ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.8 ส่งไปพร้อมงบใบสำคัญแบบ กสช.9 คำสั่งแต่งตั้งกรรมการดำเนินงานตามโครงการสร้างงานในชนบทรายงานผลการดำเนินการจ้างแรงงานราษฎรและควบคุมงานกับใบตรวจรับการจ้างแรงงาน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.9 ถึง จ.12โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.11 จริง เงินจำนวน 76,640 บาท เมื่อหักเงินค่าควบคุมงาน 4 คน คนละ 20 วัน วันละ 45 บาท เป็นเงิน 3,600 บาท คงเหลือเป็นเงินที่ต้องจ่ายให้ราษฎรผู้รับจ้างเป็นเงิน 73,040 บาท และเงินจำนวนนี้ได้หมดไปแล้ว (ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยหลอกลวงราษฎร จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องข้อ ก. และฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้เบียดบังเอาเงินจำนวน 25,697.60 บาทไว้เป็นประโยชน์ของตนโดยทุจริต จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องข้อ ข.) คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จตามฟ้องข้อ ค. หรือไม่ เห็นว่า เอกสารที่โจทก์อ้างว่าเป็นเอกสารเท็จคือหนังสือขอเบิกเงินเอกสารหมาย จ.2 งบใบสำคัญเอกสารหมาย จ.9 หนังสือรายงานผลการดำเนินการจ้างแรงงานราษฎรและควบคุมงานเอกสารหมาย จ.11 ใบตรวจรับการจ้างแรงงานเอกสารหมาย จ.12 ซึ่งเอกสารหมาย จ.11 เป็นหนังสือที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ผู้คุมงานถึงประธานสภาตำบลกล้วยกว้างว่าได้ทำการจ้างและควบคุมงานโครงการที่ 3 ประเภท 1ซ่อมทำนบดินหมู่ที่ 6 ตำบลกล้วยกว้าง เป็นเงินทั้งสิ้น 76,840บาท ได้ดำเนินการแล้ว โดยการจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยโครงการสร้างงานในชนบท พ.ศ. 2524 เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการจ้างและควบคุมงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงขอเชิญคณะกรรมการตรวจรับการจ้างมาตรวจรับและเบิกจ่ายให้แก่ราษฎรต่อไป ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็มีคำสั่งให้แจ้งคณะกรรมการตรวจรับและเบิกจ่ายเงินต่อไป เอกสารหมาย จ.12 เป็นใบตรวจรับการจ้างและตรวจรับการจ้างแรงงานซึ่งมีข้อความสรุปว่า ผู้รับจ้างได้ดำเนินการเสร็จแล้วตามรายละเอียดเป็นเงิน 76,640 บาท ได้ถูกต้องตรงกับโครงการที่ กสจ. อนุมัติแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2524 โดยจำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 ลงลายมือชื่อในฐานะประธานกรรมการและกรรมการลำดับเอกสารหมาย จ.2 เป็นหนังสือขอเบิกเงินจำนวน 76,640 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการอื่นซึ่งไม่ใช่จำเลย ทางอำเภออุทุมพรพิสัยได้ตรวจสอบถูกต้องและอนุมัติให้จ่าย และเอกสารหมาย จ.9 เป็นงบหน้าใบสำคัญซึ่งจำเลยที่ 1 และกรรมการสภาตำบลอีก 5 คนลงลายมือชื่อ ซึ่งเอกสารทั้งหมดได้ระบุรายละเอียดค่าแรงงาน จำนวนดินค่าคุมงาน และจำนวนเงิน ตรงกันทั้งสี่ฉบับ ซึ่งเอกสารทั้งสี่ฉบับนี้ รายละเอียดจำนวนค่าแรงงานจำนวนดิน ค่าคุมงาน และรวมยอดเงินตรงตามเอกสารหมาย จ.1 แบบเสนอรายละเอียดและค่าใช้จ่ายของโครงการซ่อมแซมและต่อเติมทำนบซึ่งกสจ.ได้อนุมัติแล้ว เมื่อยอดเงินที่ระบุในเอกสารทั้งสี่ฉบับตรงกับยอดเงินที่จำเลยนำสืบว่าได้นำไปจ่ายเป็นค่าจ้างให้แก่ราษฎรหมดไปแล้ว จำนวนดินที่ไม่ตรงกันแต่ตามความจริงได้จำนวนดินถึง 3,652 ลูกบาศก์เมตร มากกว่าที่ระบุไว้ในโครงการเสียอีก ส่วนอัตราค่าจ้างความสูง 1 เมตรแรก อัตราลูกบาศก์เมตรละ 20 บาท ส่วนความสูงเมตรที่ 2 และที่ 3 ไม่ตรงตามที่ได้จ้างราษฎร แต่ก็ปรากฏว่าราษฎรผู้รับจ้างขุดได้พร้อมใจกันลดราคาลงเหลือลูกบาศก์เมตรละ 20 บาทเท่ากันหมดเพื่อจะให้ได้จำนวนดินมากให้ทำนบมีความแข็งแรงและกักเก็บน้ำได้จำนวนมากอันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม การที่จำเลยดังกล่าวทำรายละเอียดตามที่ระบุในเอกสารทั้งสี่ฉบับก็เพื่อให้ตรงตามที่ได้รับอนุมัติเพื่อจะได้เบิกเงินมาจ่ายให้ราษฎรที่รับจ้างได้ เมื่อได้รับเงินมาแล้วก็จ่ายให้ราษฎรไปทั้งหมด โดยไม่ปรากฏว่ามีจำเลยคนใดทุจริต ได้ประโยชน์จากการปฏิบัติงานตามโครงการดังกล่าว แม้จำนวนดินและจำนวนเงินที่ระบุในเอกสารจะไม่ตรงกับความเป็นจริงไปบ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ข้อ ค. ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปว่า คดีนี้ยังฟังไม่ถนัดว่า เอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.8 เป็นเอกสารปลอมจำเลยที่ 5และที่ 6 จึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมและใช้เอกสารปลอมตามฟ้องข้อ ง.
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าได้มีการกระทำผิดเกิดขึ้นตามฟ้องข้อ ก.ข.ค. และ ง. จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ซึ่งโจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดตามฟ้องข้อ ก. ข้อ ข. และข้อ ค. และรวมกระทำผิดตามฟ้องข้อ ง. จึงไม่ได้กระทำผิดเช่นกัน เพราะเมื่อไม่มีการกระทำผิดจึงไม่อาจเกิดการกระทำที่เป็นการสนับสนุนให้กระทำผิดได้ อันเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้ศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7ดังกล่าวไว้ในตอนต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดถึงจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ว่าไม่มีความผิดตามฟ้องทุกข้อหาได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 ทุกข้อหานอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.