คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6003/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การออกเช็คที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 นั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ข้อเท็จจริงที่ว่าการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงเป็นองค์ประกอบการกระทำผิดด้วยโจทก์บรรยายฟ้องแต่ว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 158(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2535 วันใดไม่ปรากฎชัดเวลากลางวัน จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือจำเลยได้ออกเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาเกาะสมุย 5 ฉบับลงวันที่ 10, 20, 30 สิงหาคม วันที่ 10 และ 20 กันยายน 2535สั่งจ่ายเงินจำนวน 27,009, 23,738, 23,249, 34,075 และ 34,477บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงิน 142,553 บาท มอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ เช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงินโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ ฉบับแรกปฎิเสธการจ่ายเงินวันที่ 17 สิงหาคม 2535อ้างเหตุว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย ฉบับต่อ ๆ มา ปฎิเสธการจ่ายเงินวันที่ 24 สิงหาคม วันที่ 1, 11 และ 21 กันยายน 2535ตามลำดับ อ้างเหตุว่า มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชี อันจะพึงให้ใช้ได้หรือให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้นหรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลอ่างทองอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงโทษลงโทษจำคุกกระทง 3 เดือน รวมเป็นจำคุก 15 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78) ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 10 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยกระทงละ1 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 5 เดือน และไม่ลดโทษให้ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่าคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1)เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น (2) ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชี อันจะพึงให้ให้ใช้เงินได้ (3)ให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ในขณะที่ออกเช็คนั้น (4) ฯลฯ (5) ห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฎิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิด” ตามบทบัญญัติดังกล่าวการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย ข้อเท็จจริงที่ว่าการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจึงเป็นองค์ประกอบการกระทำความผิดด้วย การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5)
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share