คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห. เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมิได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานเท็จต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งว่าได้ครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1คดีถึงที่สุด คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีที่มีผลเป็นอย่างเดียวกับคำพิพากษาและเป็นคดีฝ่ายเดียวโจทก์ในฐานะทายาทของ ห. มิได้เป็นคู่ความในคดีนั้น จึงเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การที่จำเลยที่ 1โอนที่ดินพิพาทที่ตนไม่มีกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 จึงไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ขึ้นมาเป็นของจำเลยที่ 2 ผู้รับโอน แม้จำเลยที่ 2จะเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก็ตามจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามกฎหมายอันจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 มาต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของ ห. ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรและทายาทของนางแหว โคกปรางค์ นางแหวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 16559 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาท นางแหวถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทจึงตกเป็นมรดกแก่โจทก์ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนรับมรดกเนื่องจากก่อนถึงแก่กรรมนางแหวยินยอมให้นายอัมพร เฮงเจริญสามีโจทก์นำโฉนดที่ดินพิพาทไปมอบให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้เป็นประกันการกู้ยืมเงินที่นายอัมพรกู้ยืมจากจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1กระทำการโดยไม่สุจริต ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ซื้อมาจากนางแหวเมื่อปี 2522และครอบครองโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ และแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ศาลชั้นต้นเชื่อว่าเป็นความจริงและมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท แล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2ผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทด้วย ขอให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนที่ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท เพิกถอนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง และรายการจดทะเบียนโอนขาย กับให้ที่ดินพิพาทกลับคืนเป็นชื่อของนางแหว ให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าวได้ฝ่ายเดียว โดยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ 2 มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนดังกล่าว หากไม่ยอมให้พิพากษายกเลิกโฉนดที่ดินพิพาทและให้ออกโฉนดที่ดินพิพาทใหม่เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินเพิกถอนนิติกรรมและมอบโฉนดที่ดินให้โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 8,000 บาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 48/2533 ว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วจำเลยที่ 2 ซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การที่โจทก์อยู่ในที่ดินพิพาททำให้จำเลยที่ 2 ขาดประโยชน์เป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท คิดถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน 6,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ออกไปจากที่ดินพิพาทห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 6,000 บาท พร้อมค่าเสียหายอีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะออกไปจากที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกับคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2ซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริตเพราะรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาท ฟ้องแย้งเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 16559 ตำบลพลายชุมพลอำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และเพิกถอนการซื้อขายที่ดินดังกล่าวตามสัญญาลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2533 ระหว่างจำเลยทั้งสองถ้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองกับให้จำเลยที่ 2 คืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางแหว โคกปรางค์ และมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยที่ 1คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 48/2533 ยังมีอยู่แต่ไม่ผูกพันโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า นางแหว โคกปรางค์ เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไม่ได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์เป็นบุตรและเป็นทายาทโดยธรรมของนางแหวมีสิทธิรับมรดกของนางแหว ในระหว่างมีชีวิตอยู่นางแหวเคยยินยอมให้นายอัมพรสามีโจทก์นำโฉนดที่ดินพิพาทไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ที่นายอัมพรทำสัญญากู้ยืมจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.4 และ จ.5แต่นางแหวไม่เคยมอบที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ครอบครอง โดยโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา นางแหวถึงแก่กรรมเมื่อปี 2528นายอัมพรยังไม่ได้ชำระหนี้เงินกู้ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงยังไม่ได้คืนโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์ ต่อมาเมื่อปี 2533จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานเท็จต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 48/2533 ว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากนางแหวและได้ครอบครองปรปักษ์เป็นเวลาเกิน 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเชื่อว่าเป็นความจริงตามพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดและวินิจฉัยว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 48/2533 ที่วินิจฉัยให้ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 นั้นเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีที่มีผลเป็นอย่างเดียวกับคำพิพากษา ทั้งนี้สุดแล้วแต่กรณีว่า คดีใดต้องทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่ง และคดีดังกล่าวเป็นคดีฝ่ายเดียวโจทก์ในฐานะทายาทของนางแหวมิได้เป็นคู่ความในคดีนั้น จึงเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทที่ตนไม่มีกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 จึงไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ขึ้นมาเป็นของจำเลยที่ 2 ผู้รับโอน แม้จำเลยที่ 2 จะเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก็ตาม จำเลยที่ 2ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามกฎหมายอันจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 มาต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของนางแหวได้
พิพากษายืน

Share