คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5846/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้มูลหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดจากการหักทอนบัญชีหนี้สินระหว่างโจทก์กับบริษัท ป. แต่เมื่อเช็คพิพาทเป็นเช็คผู้ถือที่จำเลยออกให้โจทก์โดยมิได้ประทับตราของบริษัท ป. จำเลยต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คพิพาทเป็นส่วนตัว การที่จำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้แทนบริษัทป. โดยมิได้ประทับตราบริษัท ป. ถือว่าจำเลยจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้โจทก์ในฐานะส่วนตัว มิใช่ในฐานะตัวแทนบริษัท ป. จำเลยต้องรับผิดตามเช็คนั้น เมื่อจำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้โจทก์ และ ยังเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้อื่นอยู่อีกหลายล้านบาท รวมทั้งจำเลย ได้ บอก กับอ.ว่า ไม่มีเงินชำระ ยอมติดคุก จำเลยจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 12,509,880 บาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ ระหว่างนั้นจำเลยก็หลบหนีออกนอกประเทศเมื่อโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทั้งยังเป็นหนี้บุคคลอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ขอให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า หนี้ที่จำเลยออกเช็คให้โจทก์จำนวน 12,509,880บาท มิใช่หนี้ส่วนตัวของจำเลย แต่เป็นหนี้ของบริษัทแป้งมันสำปะหลังตะวันออก จำกัด จำเลยไม่ใช่บุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย จึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้มูลหนี้ตามเช็คพิพาทจะเกิดจากการหักทอนบัญชีหนี้สินกันระหว่างโจทก์กับบริษัทแป้งมันสำปะหลังตะวันออก จำกัด ก็ตามแต่เช็คพิพาทเป็นเช็คผู้ถือ เมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์โดยมิได้ประทับตราของบริษัทแป้งมันสำปะหลังตะวันออก จำกัด ย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นเป็นส่วนตัว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900, 918 ประกอบมาตรา 989 ข้อที่ว่า จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อค้ำประกันหนี้ ไม่มีเจตนาสั่งจ่ายเงินให้โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร นั้น ก็เป็นการนำสืบกล่าวอ้างลอย ๆไม่มีหลักฐานอื่นใดสนับสนุน และหากเป็นจริงดังอ้าง ก็ชอบที่จำเลยจะพึงให้โจทก์ทำหลักฐานไว้ให้ปรากฏถึงการยกเว้นความรับผิดของจำเลยดังกล่าวอ้าง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำเช่นนั้น ข้อกล่าวอ้างของจำเลยจึงขัดต่อเหตุผล ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้แทนบริษัทแป้งมันสำปะหลังตะวันออก จำกัด ลูกหนี้ของโจทก์ด้วยเช็คฉบับดังกล่าวโดยมิได้ประทับตราบริษัทแป้งมันสำปะหลังตะวันออก จำกัด ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้โจทก์ในฐานะส่วนตัวมิใช่ในฐานะตัวแทนบริษัทแป้งมันสำปะหลังตะวันออก จำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 314 และมาตรา 901 เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงต้องรับผิดตามเช็คดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม, 914 ประกอบมาตรา 989 ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยมีทรัพย์สินอย่างอื่นที่สามารถนำมาชำระหนี้โจทก์ได้ ทรัพย์สินของจำเลยคือบ้านและที่ดินในกรุงเทพฯ ก็ติดจำนองธนาคาร และจำเลยยังเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้อื่นอยู่อีกหลายล้านบาท ร้อยตำรวจโทพงษ์เดช พรหมจิตร พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า เมื่อจำเลยถูกจับกุมและกักขังอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมา จำเลยได้บอกกับนายอนุวัฒน์ฤทัยยานนท์ ว่า ไม่มีเงินชำระให้และยอมติดคุกซึ่งนายอนุวัฒน์ก็มาเบิกความรับรองว่าเป็นความจริง จำเลยจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share