แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ทะเบียนบ้านที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นเจ้าบ้าน เป็นเพียงหลักฐานของทางราชการที่ระบุว่าใครเป็นเจ้าบ้านและมีใครอาศัยอยู่ในบ้านบ้าง ไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ในบ้าน ทั้งไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์ย่อมนำสืบพยานบุคคลและศาลย่อมรับฟังพยานบุคคลได้ ไม่เป็นการนำสืบพยานบุคคลแก้ไขพยานเอกสารอันต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94.
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวนเงิน 18,062.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 27 ของจำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า บ้านดังกล่าวเป็นของผู้ร้องมิใช่ของจำเลยที่ 1 ขอให้ปล่อยทรัพย์
โจทก์ให้การว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องมีว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 หรือไม่ โดยผู้ร้องฎีกาว่า เป็นบ้านของผู้ร้อง ได้รับมรดกจากบิดามารดา ผู้ร้องได้ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของเกิน 10 ปี จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้อาศัย พยานผู้ร้องเบิกความสอดคล้องต้องกันมีเหตุผลเชื่อได้ว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องนั้น เห็นว่า คำเบิกความของผู้ร้องปรากฏว่า บ้านพิพาทเป็นบ้านที่ผู้ร้องได้ปลูกสร้างเอง บิดาผู้ร้องตายไปนานแล้ว ผู้ร้องไม่ได้รับมรดกอะไรเลย ทั้งนายน้อย อนันธวัน และจำเลยที่ 1 เบิกความสนับสนุนว่าผู้ร้องปลูกสร้างเอง จึงรับฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รับมรดกและครอบครองบ้านพิพาทมานานนับเป็น 10 ปี อย่างที่ฎีกา ในการปลูกสร้างบ้านพิพาทปรากฏจากคำเบิกความนายบัวไหล ศรีวรสาร ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและต่อมาเป็นกำนันในหมู่บ้านและตำบลที่บ้านพิพาทตั้งอยู่ แม้ฝ่ายโจทก์จะอ้างมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ แต่พยานก็มิได้เกี่ยวข้องเป็นญาติกับฝ่ายใด เบิกความว่าจำเลยที่ 1 ได้ซื้อบ้านเรือนเก่ามาปลูกบริเวณใกล้เคียงกับบ้านนายน้อย ที่ดินที่ปลูกบ้านเป็นของจำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 2 ขายให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อนายน้อยรื้อบ้านเดิมไปอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลหนองยอง บ้านที่จำเลยที่ 1ปลูกยังไม่มีเลขที่บ้าน นายบัวไหลจึงให้จำเลยที่ 1 ใช้เลขที่บ้านของนายน้อยที่รื้อไปแทน ผู้ร้องไม่ได้ย้ายตามนายน้อยไป จึงอยู่ที่บ้านจำเลยที่ 1 ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน คำเบิกความของนายบัวไหลซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและต่อมาเป็นกำนันรู้เรื่องเกี่ยวกับบ้านพิพาทเป็นอย่างดี มีเหตุผลเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลูกบ้านพิพาทเองทั้งได้ปลูกสร้างในที่ดินที่จำเลยที่ 1 ซื้อจากจำเลยที่ 2ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า ในเอกสารทะเบียนบ้านเป็นเอกสารราชการมีชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าบ้าน เป็นเอกสารราชการที่แสดงกรรมสิทธิ์โจทก์นำพยานบุคคลสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารจึงต้องห้าม และศาลรับฟังไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้นเห็นว่า หลักฐานทะเบียนบ้านที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นเจ้าบ้านเป็นเพียงหลักฐานของทางราชการที่ระบุว่าใครเป็นเจ้าบ้านและมีใครอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าวบ้าง ไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้นทั้งไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์ย่อมนำสืบพยานบุคคลและศาลย่อมรับฟังพยานบุคคลได้ ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.